DWO City
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Go down
Gudomana
Gudomana
Posts : 52
Join date : 2018-08-20

Shining in The Darkness  Empty Shining in The Darkness

Wed Dec 26, 2018 8:34 am
Prologue


“ย๊ากกก” หญิงคนหนึ่งตะโกนสุดเสียงของเธอก่อนจะหอกแทงทะลุร่างของทหารในชุดเกราะ
 
เจ้าของหอกดึงหอกสีแดงของเธอออกจากร่างของศัตรู เลือดนั้นไหลก่อนจะหยดลงก้อนหินที่เป็นพื้นปราสาท เจ้าของหอกเล่มนี้เป็นหญิงรูปสมส่วน ผมของเธอเป็นสีน้ำตาลยาวสลวย ดวงตาของเธอสีแดงก่ำ ครึ่งหน้าของเธอถูกผ้าสีดำปกปิดไว้ เฉกเช่นเดียวกันผ้าปิดหน้าของเธอ เสื้อของเธอล้วนแต่เป็นสีทมิฬ กระนั้นแม้เสื้อของเธอถูกทอด้วยผ้าสีดำ แต่ขณะนี้เสื้อของเธอเปื้อนด้วยโลหิตสีแดงของศัตรู เธอเองก็ไม่รู้ว่าเลือดที่ติดอยู่บนเสื้อของเธอเป็นของใครบ้าง เพราะเธอปลิดชีพศัตรูของเธอเป็นจำนวนมาก ดวงตาสีแดงก่ำของเธอมองไปรอบๆ เธอเห็นทหารจำนวนมากยืนล้อมเธอ พวกมันต่างมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอำมหิต ลมเย็นๆแตะผิวของเธอ เนื่องจากจุดที่เธอยืนเป็นยอดปราสาท ผนวกกับเป็นช่วงใกล้รุ่ง มันจึงทำให้ลมบนนี้เย็นกว่าปกติเสียหน่อย
 
“ใครอยากจะเผชิญกับยมโลกก็ก้าวเท้าเข้ามา” หญิงคนนี้ตะโกนขู่
 
เหล่าทหารได้ยินคำขู่ก็ถอยออกไปเล็กน้อย มือของพวกเขาสั่นไปด้วยความกลัว แม้จำนวนที่มากกว่า แต่ร่างไร้วิญญาณจำนวนมากที่นอนกองอยู่เบื้องหน้าเธอ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าหญิงคนนี้แข็งแกร่งขนาดไหน กลิ่นของเลือดฟุ้งไปทั่วจมูกของเหล่าผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณ
 
“อย่ากลัว!! เราต้องฆ่าจอมนางเพื่ออนาคตของครอบครัวเรา!!” ทหารคนหนึ่งตะโกนปลุกใจเพื่อนร่วมสมรภูมิของเขา
 
ทหารคนนี้แต่งตัวต่างกับคนอื่น ชุดเกราะสีดำเงาของเขาดูยิ่งใหญ่กว่าสหายคนอื่นๆของเขา ไม่ใช่เพียงแค่ชุดเกราะแต่ดาบของเขาก็ดูเป็นดาบที่ถูกตีขึ้นมาเป็นอย่างดี หากคาดเดาเขาคงไม่ได้มียศเป็นเพียงทหารเลว ใบหน้าของชายคนนี้ดูอ่อนเยาว์ ผมของเขาหยิกศกและเป็นสีดำ รอบปากของเขามีเคราล้อมรอบ คำพูดของเขานั้นเป็นเหมือนยาปลุกใจทหารคนอื่นๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเริ่มหายไป แววตาของทหารเต็มไปด้วยความกล้าหาญ พวกเขากำอาวุธแน่น พร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้าและเปล่งเสียงคำรามออกมาสุดปอด
 
“ชิ เจ้าพวกนี้” หญิงที่ถูกเรียกว่าจอมนางใช้ลิ้นของเธอกระทบเข้ากับฟัน
 
ทหารสองนายตรงมาพร้อมกับง้างดาบขึ้นเหนือศีรษะ เธอกระโดดถอยออกและใช้หอกเล่มสีแดงแทงเข้าที่คอของทหาร เธอดึกหอกออกจากลำคอของทหาร ทหารที่ถูกของมีคมแทงทะลุหลอดลมหายใจใช้มือของตัวเองจับไว้ที่ลำคอ เขาพยายามจะส่งเสียงแผดร้องแต่เขามิสามารถทำได้ ชายอีกคนวิ่งตรงมาจากด้านหลังของจอมนาง ทว่าหญิงที่เป็นที่หมายตายื่นมือของเธอและจับใบหน้าของผู้หมายปองชีวิต ควันลอยออกมาจากฝ่ามือของหญิงผมยาว ชายที่ถูกสัมผัสใบหน้ากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อเธอปล่อยมือออก ใบหน้าของชายคนนั้นก็ถูกเผาไหม้จนเกรียม เขาล้มลงและนอนแน่นิ่งบนสมรภูมิที่เย็นยะเยือก
 
“ย๊ากกก” เสียงของชายผมหยิกตะโกนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ปลี่เข้ามายังจอมนางที่ถูกรายล้อมด้วยหนุ่มมากมาย
 
จอมนางหันกลับและยกหอกของเธอขึ้นมาป้องกันตนเอง เสียงของโลหะดังก้องสมรภูมิ ดวงตาสีแดงของจอมนางสะท้อนภาพของใบหน้าผู้กล้าที่แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
 
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายสหายของข้าอีกแล้ว” ผู้กล้าพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“เจ้าต่างหากเป็นฝ่ายที่ทำร้ายสหายของข้า” จอมนางตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ตายซะ!!” เสียงทหารอีกคนตะโกนขึ้นมา
 
แววตาของจอมนางมองไปยังต้นเสียง เธอเห็นทหารอีกคนกุมดาบแน่นและตรงมาหาเธอ จอมนางออกแรงสะบัดดาบของผู้กล้าชุดเกราะสีดำออกไป เธอใช้หอกที่คร่าชีวิตนับพันแทงเข้าทะลุหัวใจของศัตรู จอมนางรีบดึงหักออกและพยายามหันกลับไปต่อสู้กับคู่ต่อกรของเธอ แต่ทว่าการเปิดจังหวะเพียงวินาทีเดียวสามารถส่งผลกับผลแพ้ชนะในครั้งนี้ได้
 
“ฉึก” เสียงของดาบเสียบเข้ากับร่างของหญิงในชุดดำดังขึ้นมา
“อั๊ก” หญิงที่ถูกดาบแทงทะลุหน้าท้องกระอักออกมาเป็นเลือด
 
เลือดของเธอติดบริเวณใบหน้าของผู้กล้า ดวงตาของชายคนนี้ไม่มีความกลัวหรือความเสียใจ แต่มันกลับแสดงความรู้สึกที่โล่งใจออกมา ชายคนนี้รีบดึงดาบของเขาออกมา จอมนางเริ่มเสียการทรงตัว เธอเดินโซซัดโซเซอยู่บนยอดของปราสาท หอกในมือของเธอหล่นลงกับพื้นและกลิ้งไปยังทหารของชายรูปงามในชุดเกราะสีดำ ดวงตาของทหารทุกคนมองมายังเธอ ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเธอ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครละสายตาออกจากเธอ เมื่อจอมนางรู้ตัวอีกที เธอก็ยืนอยู่บนขอบของยอดหอคอยปราสาท สายตาของจอมนางมองลงไปเบื้องล่างของเธอคือสายน้ำที่ไหลอย่างรุนแรง เธอเงยหน้ากลับมามองชายที่เป็นวีรบุรุษของสงครามครั้งนี้
 
“มันจบแล้วล่ะ จอมนางนาริส” ชายในชุดเกราะสีดำขานนามของศัตรูพร้อมกับชี้ดาบไปข้างหน้า
 
จอมนางที่ถูกเรียกว่า “นาริส” ไม่โต้ตอบอะไร เธอมองไปยังชายที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เลือดสีแดงจากปากแผลของนาริสหยดลงบนพื้นตลอดทาง ชายที่ฝากแผลไว้บนหน้าท้องของนาริสวิ่งตรงเข้ามาอีกครั้ง เขาคำรามสุดเสียงก่อนจะยกเท้าและถีบเข้าไปยังร่างของเธอ ร่างของหญิงสาวลอยอยู่ในอากาศ เธอพยายามจะคว้าทุกอย่างทีเธอจับได้เพื่อที่จะไม่ทำให้เธอร่วงลงสู่พื้นข้างล่าง ทว่าไม่ว่าเธอจะพยายามเช่นใด เธอก็ไม่สามารถไขว่คว้าอะไร ดวงตาสีแดงของเธอมองเห็นใบหน้าของชายผู้ปลิดชีพเธอเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนที่ความเจ็บปวดจะกลืนกินร่างของเธอ
 
====
 
“เฮือก” นาริสสะดุ้งตื่นขึ้นมา
 
เธอมองไปรอบๆเธอ เธอถูกรายล้อมด้วยพงไพรจำนวนมาก หูของเธอได้ยินเสียงของสายน้ำที่ไหลเชี่ยวอยู่เบื้องหลัง หญิงสาวแหงนมองขึ้นฟ้าและเห็นท้องฟ้าที่มืดมิด กระนั้นในความมืดมิดมีแสงสว่างจากดวงตะวันปรากฏอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะหมดสติได้ไม่นาน เสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ นาริสใช้มือของเธอจับบริเวณหน้าของเธอ บาดแผลที่ถูกแทงนั้นยังคงปรากฏอยู่ เธอยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดตามทั่วร่างของเธอ นาริสฉีกแขนเสื้อของตัวเองออกและใช้มันพันเข้าไปที่บริเวณปากแผลของเธอ นาริสรวบรวมแรงของเธอและยืนขึ้นมา เธอเดินอย่างไร้จุดหมายพร้อมกับความเจ็บปวดที่ฝังเคี้ยวลงบนผิวของเธอ ในขณะที่ก้าวเดินเธอเหลือบเห็นป้ายไม้ที่ชี้ไปข้างหน้า บนป้ายมีตัวอักษรเขียนชื่อหมู่บ้าน
 
“ถ้าข้าไปที่นั่น ข้าจะตายรึเปล่านะ?” หญิงสาวคนนี้ถามตัวเอง
 
ใบหน้าอันงดงามของเธอนั้นเป็นเหมือนคำสาป เพราะทุกคนสามารถจดจำใบหน้าของเธอได้ดี เพียงแค่ชายตามองครู่เดียว ทุกคนก็จำได้ว่าเธอคือจอมนาง “นาริส” กระนั้นเธอไม่มีทางเลือกมาก แต่เธอคงต้องเสี่ยงกับการเดินไปข้างหน้า และหวังว่าเธอจะสามารถหาทางออกอะไรได้บ้าง ทว่าเมื่อเธอเดินไปถึงจุดหมายของเธอ สิ่งทีเธอเห็นมันกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดไว้ เธอเห็นเพียงแต่ซากปรักหักพังของอาคารมากมายพร้อมกับร่างไร้วิญญาณจำนวนมากที่นอนกองกัน กลิ่นของมันเน่าเหม็น ดวงตาของนาริสเต็มไปด้วยความสับสน ทุกอย่างนั้นเงียบสงัดราวกับไร้สิ่งมีชีวิตอยู่
 
“กึก”
 
ด้วยความเงียบทำให้นาริสได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากในบ้านที่อยู่ข้างเธอ มันเป็นบ้านไม่กี่หลังไม่ถูกทำลาย เธอมองเข้าไปก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน เธอเห็นเด็กหนุ่มผมขาวคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มคนนี้เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นสีแดงเหมือนเธอ มันสะท้อนภาพของนาริสที่ยืนจ้องเด็กน้อยคนนี้ ร่างกายของเขาดูอ่อนแรง
 
“ช่วยผมด้วย” เด็กหนุ่มคนนี้พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับยื่นมือมาข้างหน้า
 
นาริสยองตัวลงพร้อมกับคว้ามือเด็กน้อยคนนี้ไว้
 
“เจ้าชื่ออะไรหรือ?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“โดมีนิกขอรับ” เด็กหนุ่มตอบ
“ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่...เจ้าจะไม่เป็นไร” นาริสตอบด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
 
ไม่มีคาดคิดเลยว่าการพานพบกันของ “จอมนาง” และ “โดมีนิก” จะทำให้เข็มนาฬิกาแห่งโชคชะตาเดินไปข้างหน้า
Gudomana
Gudomana
Posts : 52
Join date : 2018-08-20

Shining in The Darkness  Empty Re: Shining in The Darkness

Fri Jan 04, 2019 1:47 pm
ตอนที่ 1 : รัตติกาลแห่งโชคชะตา
ตอนที่ 2 : จดหมาย


Last edited by Gudomana on Mon Jan 07, 2019 8:35 pm; edited 2 times in total
Gudomana
Gudomana
Posts : 52
Join date : 2018-08-20

Shining in The Darkness  Empty Re: Shining in The Darkness

Fri Jan 04, 2019 1:51 pm
Episode 1 : รัตติกาลแห่งโชคชะตา

“ฉับๆ”

เสียงของมีดหั่นลงบนแครอทที่วางอยู่บนเคียงไม้ดังขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง เด็กหนุ่มผมขาวร่างบางเป็นผู้จับมีดและหั่นแครอทแท่งสีส้มออกเป็นชิ้นเล็กๆ เขายืนอยู่ในห้องครัวที่มีขนาดกว้าง แต่กระนั้นแม้มันจะกว้างเพียงใด คนเดียวที่ยืนอยู่ในห้องนี้กลับเป็นเด็กหนุ่มผมขาว ชายที่อยู่คนเดียวในห้องมองไปยังหม้อที่มีควันโพยพุ่งออกมา เขาใช้ช้อนไม้ตักน้ำซุปขึ้นและลิ้มรสของมัน เมื่อเขาได้ชิมผลงานของเขาแล้วเขาก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ท่านนาริสน่าจะชอบนะ” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง

เด็กหนุ่มร่างบางเดินออกจากห้องครัว เมื่อเขาออกมาจากห้องครัวเขาก็ถูกต้อนรับด้วยห้องโถงอันสุดแสนจะหรูหราและมีขนาดกว้างใหญ่ เหนือศีรษะมีชานเดอเลียร์ห้อยอยู่ บนพื้นไม้มีพรมสีแดงทอดยาวไม่รู้จบ กระนั้นแล้วนอกจากเด็กหนุ่มผู้นี้ ก็ไม่มีบริวารคนอื่นปรากฏตัวอยู่เลย ชายผมขาวก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เขาเดินผ่านประตูหลายบาน ประตูที่เขาเดินผ่านนั้นมีหน้าตาเหมือนกันหมดและไม่มีความแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็รู้ดีว่าจุดหมายของเขาอยู่หนใด เด็กหนุ่มหยุดอยู่ประตูห้องที่อยู่ในสุด เขายกมือขึ้นและใช้หลังมือเคาะกับประตู เด็กหนุ่มใช้มือบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูโดยไม่รอเสียงตอบรับจากในห้อง

“ท่านนาริส เช้าแล้วนะขอรับ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นทันทีเมื่อเท้าของเข้าก้าวไปในห้อง

เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังผ้าม่านก่อนจะใช้มือเปิดผ้าม่าน แสงสว่างจากดวงตะวันส่องผ่านหน้าต่าง หญิงผมน้ำตาลที่ถูกเรียกว่านาริสที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นมานั่งด้วยใบหน้าสลึมสะลือ เส้นผมของเธอกระเจิดกระเจิง บนเตียงนอนของเธอเต็มไปด้วยกองหนังสือจำนวนมากวางเต็มไปหมด ดวงตาที่ยังเปิดกว้างของเธอหันไปมองชายผมขาวที่กำลังเปิดม่านจากหน้าต่างทุกบาน

“อรุณสวัสดิ์ โดมีนิก” นาริสพูดพร้อมกับอ้าปากหาว
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านนาริส” โดมีนิกส่งยิ้มให้กับหญิงผมน้ำตาล
“ท่านอ่านหนังสือจนดึกอีกแล้วหรือ?” โดมีนิกถามต่อพลางมองกองหนังสือที่กระจัดกระจายบนเตียง

“อืม พอข้าไม่ต้องเป็นจอมนางแล้ว ข้าก็มีเวลามากพอที่จะได้อ่านหนังสือที่ข้าต้องการ” นาริสพูดพร้อมยืดเส้นยืนสาย
“เจ้าเตรียมอาหารเช้าแล้วหรือยัง?” นาริสถามขึ้นมา
“ข้าเตรียมให้ท่านไว้เรียบร้อยแล้ว” โดมีนิกกล่าวด้วยรอยยิ้ม

นาริสพยักหน้าก่อนที่เธอจะพยุงร่างของเธอออกจากเตียงนอนของตัวเอง นาริสลงไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารของตัวเอง มันเป็นโต๊ะไม้ที่ยาวจนไปถึงสุดห้อง ตลอดสองข้างของโต๊ะมีเก้าอี้ไม้จำนวนมากถูกวางเรียงกัน ทว่ามีเพียงแค่อดีตจอมนางที่นั่งอยู่หัวโต๊ะแต่เพียงผู้เดียว โดมีนิกนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ มันเป็นซุปและไข่กวน นาริสเริ่มตักอาหารเข้าปากทันที โดมีนิกนั่งลงเก้าอี้ตัวที่วางอยู่ข้างเธอ

“เอ้อ โดมีนิก ข้าคิดว่าหนังสือที่ข้าสั่งไว้น่าจะมาแล้ว ข้าวานเจ้าไปรับหน่อย” นาริสพูดในขณะที่เคี้ยวอาหารเช้าในปากของเธอ
“ขอรับ..ใช่ที่เดียวกันกับที่ท่านให้ข้าสั่งหนังสือใช่ไหม?” โดมีนิกตอบรับพร้อมถามคำถาม
“อืม ที่นั่นแหละ” นาริสตอบพร้อมตักอาหารอีกคำเข้าปาก

โดมีนิกพยักหน้าพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ เขาเดินตรงไปยังประตูของคฤหาสน์เขาเปิดประตูออก า คฤหาสน์แห่งนี้ถูกล้อมด้วยรั้วสีดำ หากมองผ่านรั้วไปก็จะเห็นเงาของเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร ทว่าก่อนจะถึงเมืองไม่มีบ้านหลังอื่นถูกปลูกไว้อยู่เลย โดมีนิกใช้มือของเขาผลักประตูรั้วออกไปและเดินท่ามกลางแสงแดดและสายลมยามเช้าที่สัมผัสผิวของเขา ไม่กี่อึดใจเขาก็ถึงจุดหมายของเขา นครที่เต็มไปด้วยผู้คน มีคนมากมายเดินเต็มเมืองไปหมด เสียงตะโกนโหวกเหวกของพ่อค้าและเสียงของล้อเกวียนที่หมุนบนพื้นล้อดังบรรเลงอยู่เบื้องหลัง โดมีนิกเดินไปถึงอาคารสองชั้นที่ตั้งอยู่ข้างกับอาคารที่มีรูปแบบเดียวกัน มีเพียงป้ายไม้ที่แขวนอยู่บนประตูที่ทำให้รู้ว่าอาคารแห่งนี้มีจุดประสงค์อะไร โดมีนิกผลักประตูไม้ไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปในอาคาร

“กิ๊งๆ” เสียงกระดิ่งที่แขวนกับประตูดังขึ้นมา

ชายชรารูปร่างท้วมที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์แหงนหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง บนศีรษะของชายคนนี้มีเส้นผมอยู่เบาบาง หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายปี เขาคงมีเส้นผมอยู่บนหัวมากกว่านี้ เพราะกาลเวลาทำให้เส้นผมเหล่านี้หลุดร่วงไป ในร้านแห่งนี้มีหนังสือมากมายที่ถูกวางอยู่บนชั้น เมื่อชายชราคนนี้เห็นหน้าของโดมีนิกเขาก็ยิ้มออกมา

“มารับหนังสือหรือโดมีนิก?” ชายชราคนนี้ถามพลางก้มไปหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้โต๊ะ
“ขอรับ” โดมีนิกตอบสั้นๆพร้อมกับเดินตรงไปยังจุดที่ชายชรานั่งอยู่
“เจ้านี่เป็นคนอ่านหนังสือเยอะมากเลยนะ เจ้าจะไปเรียนเป็นจอมเวทย์หรือ?” ชายคนนี้ถามต่อหลังจากที่เขาหยิบถุงหนังสือมาวางไว้บนโต๊ะ
“ขอรับ” โดมีนิกยิ้มด้วยรอยยิ้มธรรมชาติ โดยไม่มีใครรู้เลยว่าใต้รอยยิ้มคือคำโกหก

“ถ้างั้นพอเจ้าเป็นนักเวทย์ได้แล้ว อย่าลืมพูดถึงข้าบ้างล่ะ ฮ่าๆ” ชายชราส่งเสียงหัวเราะออกมา
“แน่นอน ข้าไม่ลืมท่านแน่ๆ” โดมีนิกยิ้มพร้อมกับสะพายถุงหนังสือไว้บนแผ่นหลัง

โดมีนิกก้าวเท้าออกจากร้านและแหงนมองขึ้นฟ้า เขาเห็นท้องฟ้าที่มืดตัวลงอย่างรวดเร็ว ก้อนเมฆสีดำจำนวนมากรวมตัวกัน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเม็ดฝนจะโปรยลงมา ผู้คนที่ยืนอยู่ภายนอกบางส่วนเริ่มเดินกลับเข้าไปในที่ร่มเพื่อป้องกันตัวเองจากเม็ดฝนที่จะร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้า โดมีนิกเร่งฝีเท้าของเขาเพื่อจะกลับสู่วิมานของเขาให้เร็วที่สุด แต่ทว่าเหมือนพระเจ้าเล่นสนุกกับเขา เพราะเขาวิ่งพ้นเมืองไม่ทันไร ฝนก็เทกระหน่ำลงมา เขารีบวิ่งฝ่าฝนแม้ของในกระเป๋าจะถ่วงน้ำหนักเขาก็ตาม

“หืม?” โดมีนิกอุทานกับตัวเองเบาๆ

เขาหยุดเดินแม้เสื้อผ้าของเขาจะเปียกปอนจากเม็ดฝน เขาเห็นสุนัขขนน้ำตาลที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น ตัวของมันสั่นด้วยอากาศที่หนาว โดมีนิกตรงไปหาสุนัขที่นอนบนพื้น มันหันมามองโดมีนิกเมื่อมันได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มเข้าใกล้

“ตัวเปียกไปหมดเลยแฮะ…” โดมีนิกพูดกับตัวเอง
“ถ้างั้นกลับมาที่บ้านของชั้นก่อนไหม” โดมีนิกพูดแม้เขาจะมั่นใจว่าสุนัขตัวนี้จะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด

ชายผมขาวอุ้มร่างหมาน้อยขึ้นมา ก่อนที่เขาจะวิ่งท่ามกลางสายฝน ไม่นานเขาก็กลับเข้าถึงคฤหาสน์ของเขา หยดน้ำที่ชุ่มเสื้อของเขาหยดลงพื้นไม้และพรมแดง นาริสที่ได้ยินเสียงปิดประตูบ้านออกมาจากห้อง เมื่อเธอเห็นสภาพของเด็กหนุ่มที่ชุ่มไปด้วยน้ำและสุนัขที่อยู่ในอ้อมอกของเขา เธอก็เดินตรงมาหาชายหนุ่ม

“ข้าขอโทษนะ ท่านนาริส ข้ากลับมาไม่ทัน หนังสือมันเลยเปียกหมดเลย” โดมีนิกกล่าวขอโทษทันทีเมื่อนาริสเดินเข้ามาหา
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเอาหนังสือไปตาก ไม่นานก็แห้ง” นาริสตอบ
“แล้ว สุนัขนี่เจ้าได้มาเช่นไร?” นาริสถามพร้อมกับมองสุนัขขนสีน้ำตาลที่มองเธอเช่นกัน
“ข้าเห็นมันนอนตากฝนในขณะที่ข้ากำลังกลับมาที่นี่ ข้าเลยพามันมาหลบฝนขอรับ” โดมีนิกอธิบายพร้อมกับมองลูกหมาในมือตัวเอง

นาริสไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเงียบและมองยังสุนัขตัวนี้

“เจ้าไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวเจ้าจะตัวเปียกเอา” สิ้นเสียงของจอมนางเธอก็หันหลังและเดินกลับไปในห้องของเธอ

โดมีนิกเดินเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ชั้นล่าง มันเป็นห้องน้ำที่เขาใช้อยู่เพียงผู้เดียว เมื่อน้ำเต็มอ่าง ชายหนุ่มก็เปื้องผ้าของเขาลงบนพื้น เขาอุ้มเจ้าหมาขนน้ำตาลงไปในอ่างอาบน้ำด้วย เมื่อขนของมันสัมผัสกับน้ำ มันก็พยายามดิ้นเพื่อจะหลุดออกจากน้ำ น้ำกระจัดกระจายไปทั่วรอบๆอ่าง ทว่าโดมีนิกจับไว้ทำให้มันไม่สามารถหนีรอดออกไปได้ ท้ายที่สุดมันก็ต้องจำยอมและแช่อ่างอาบน้ำกับหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้

“เจ้าเป็นตัวเมียงั้นหรอ” โดมีนิกพูดในขณะที่เขากำลังชำระล้างร่างกาย
“ดูแล้วเจ้าก็คงไม่มีเจ้าของด้วยนี่นะ ถ้างั้นมาอยู่กับข้าไหม ข้าจะได้มีเพื่อนเล่น” โดมีนิพูดพร้อมกับลูบศีรษะของ “สหาย” ใหม่ด้วยความเอ็นดู
“เจ้าไม่ตัวกลัวท่านนาริสหรอก ท่านนาริสเป็นคนใจดี ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงพูดแต่เรื่องแย่ๆของนาง” โดมีนิกพูดพลางมองนัยน์ตาของสุนัขที่ลอยอยู่ตรงข้ามเขา
“เพราะนางเป็นจอมนางงั้นหรือ?” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองพร้อมกับยืดหลังไปสัมผัสกับอ่างอาบน้ำที่เย็นยะเยือก

เมื่อเขาอาบน้ำจนพอใจเขาก็ก้าวออกมาจากอ่างพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดตัว เช่นเดียวกันกับสหายร่วมอ่าง เขาก็ใช้ผ้าอีกฝืนเช็ดตัวของมันเช่นเดียวกัน โดมีนิกสวมผ้าอีกชุดที่แห้งก่อนจะออกจากห้องน้ำ เขาอุ้มสุนัขขนน้ำตาลพร้อมกับเดินตรงไปยังห้องนอนของนาริส

“ท่านนาริสขอรับ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง” โดมีนิกพูดในขณะที่เขาแง้มประตูห้อง

เมื่อประตูถูกออกจนสุด เขาก็เห็นจอมนางที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับหนังสือในมือ

“ได้ซิ ข้าอนุญาตให้เจ้าเลี้ยงสุนัขตัวนี้” นาริสตอบก่อนที่โดมีนิกจะถามเสียอีก
“เอ๊ะ” โดมีนิกอุทานออกมาด้วยสีหน้างุนงง
“ท่านนาริสรู้ได้ยังไง?” โดมีนิกถามต่อด้วยสีหน้าฉงน โดยเขาลืมความรู้สึกดีใจหลังจากที่นายหญิงของตนอนุญาตให้เลี้ยงสหายขนปุยตัวนี้ได้

“ข้าว่าให้ใครเดาก็คงเดาได้เหมือนข้านั่นแหละ เจ้าว่างั้นไหมล่ะ?” นาริสตอบด้วยรอยยิ้ม
“แล้วเจ้าคิดรึยีงว่าเจ้าจะตั้งชื่อมันว่าอะไร?” หญิงผมน้ำตาลเปลี่ยนประเด็น
“อืมมม” โดมีนิกยกสุนัขตัวนี้ขึ้นพร้อมมองด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“โดโรธีก็แล้วกัน”

เมื่อสุนัขตัวนี้ได้ยินชื่อ “โดโรธี” มันก็เห่าออกมาพร้อมกับสะบัดหางไปมา ดูเหมือนมันจะชอบชื่อที่เด็กหนุ่มคนนี้มอบให้

====

“แฮ่กๆ” นาริสหายใจอย่างหนักอึ้ง รอบเธอถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง ในมือของเธอกำหอกไว้แน่น มันเป็นหอกไม้ธรรมดาๆ ปลายหอกของมันเปื้อนไปด้วยเลือด ข้างหน้าของเธอคือทหารในชุดเกราะสีเงินที่ยืนกุมดาบและขยับเข้าหาเธอช้าๆ เธอเหลือบหันไปมองโดมีนิกที่นั่งพิงกำแพงอยู่เบื้องหลัง เสื้อผ้าของเขาเปื้อนไปด้วยเลือด เด็กหนุ่มผมขาวใช้มือปิดบริเวณที่มีเลือดไหลออกมา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เพียงชั่วครู่ที่เธอเสียสมาธิ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งตรงเข้ามา ชายคนนี้ง้างดาบเตรียมจะสับร่างของนาริส ทว่านาริสยกหอกมากันไว้ ดาบฟันหอกออกเป็นสองท่อน ดวงตาของนาริสเบิกโพลนด้วยความตกใจ เจ้าของดาบยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาเตรียมโจมตีระรอกสอง ทว่านาริสขว้างหอกแทงเข้าทะลุที่ลำคอของศัตรู

“ตายซะ!!” ทหารอีกคนตรงมา

นาริสย่อตัวลงก่อนจะใช้มือแตะบนพื้น กำแพงไฟพุ่งขึ้นมาและเผาร่างของทหารที่วิ่งตรงมาอย่างไร้สติ เสียงของทหารที่ถูกไฟเผาร้องด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามตะเกียดตะกายเอาตัวรอด แต่ทว่าเพลิงชีวิตของเขาได้มอดเสียแล้ว นาริสรีบหันกลับไปหา เด็กที่นั่งอยู่ด้วยความทรมาน เธอยองตัวลงและใช้มือสัมผัสเข้าที่แก้มที่เย็นยะเยือกของโดมีนิก

“เจ้าไม่เป็นไรนะ” นาริสถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าก็อยากจะตอบว่าข้าไม่เป็นไร แค่ก” เขาไอออกมาเป็นเลือด เลือดนั้นกระเซ็นติดบนเสื้อผ้าของนาริส
“ขะ ข้าขอโทษที่ทำเสื้อท่านเปื้อน” โดมีนิกพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก...ข้าจะพาเจ้าหนีจากที่นี่” นาริสพยายามให้ความหวังกับเด็กหนุ่ม
“ท่านไปเถิด ข้าไม่ไหวแล้ว...ข้าจะเป็นภาระให้ท่านเสียเปล่า” โดมีนิกกุมมือของนาริสไว้
“เจ้าอย่าพูดแบบซิ เจ้าจะต้องรอด เจ้าเป็นครอบครัวของข้านะ” นาริสพูดกับเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าหวาดกลัว

น้ำตากำลังจะไหลออกมาจากดวงตาสีแดงของเธอ แต่ก็เธอทำเต็มที่เพื่อซ่อนความรู้สึกเอาไว้

“ท่านช่วยให้ข้ามีชีวิตที่สองมาแล้ว ถ้าท่านให้ข้ามีชีวิตที่สามอีก ข้าว่ามันคงขี้โกงไปหน่อยนะ จริงไหมท่าน?” โดมีนิกกล่าวติดตลกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า

ทว่าดวงตาของโดมีนิกเบิกกว้างขึ้น เขารีบผลักร่างของหญิงออกไปด้านข้างก่อนที่เขาจะวิ่งตรงไปข้างหน้า หอกสีแดงสดแทงทะลุร่างของเด็กหนุ่มผมขาว โดมีนิกกระอักเลือดออกมา เลือดของหนุ่มน้อยหยดลงพื้น ดวงตาของเขานิ่งสนิท มันเป็นดวงตาของคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง หอกนั้นถูกดึงออก ร่างของโดมีนิกหล่นไปกระแทกกับพื้น แววตาของนาริสเบิกกว้างด้วยความตกใจ เธอรีบหันกลับหาชายที่ถือหอกสีแดงเล่มนี้ มันเป็นหอกที่เธอคุ้นเคย เพียงเธอมองเพียงแค่ชั่วพริบตาเธอก็รู้ว่านี่เป็นหอกที่เธอเคยเป็นผู้ถือครอง

“ข้าไม่ได้ตั้งใจฆ่าเจ้าหนูนี่หรอกนะ” เสียงของชายหนุ่มที่นุ่มลึกดังขึ้นมา

เจ้าของเสียงเป็นชายที่มีรูปร่างกำยำและสูงใหญ่ ผมของเขาสั้นและเป็นสีดำ ใต้ตาของเขามีไฝเม็ดหนึ่งปรากฏอยู่ เขาสวมชุดเกราะสีเขียว ดวงตาของเขาแหลมคมดุจเหยี่ยว มืออีกข้างของถือหอกอีกเล่ม มันเป็นสีทองและดูสง่างาม

“แก…” นาริสกัดริมฝีปากพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

เธอกำด้ามหอกที่เหลืออยู่และตรงไปพร้อมกับหอกที่อยู่ข้างหน้า ทว่าด้วยอาวุธที่ไร้คุณภาพทำให้หอกสีแดงแทงทะลุหน้าท้องของเธอ ร่างของนาริสถูกสะกดอยู่กับที่เหมือนของแหลมฝ่าหน้าท้องของเธอ ด้ามหอกที่เหลือตกลงบนพื้น ชายคนนี้ดึกหอกออกจากร่างของเธอ นาริสถอยออกไปสองสามก้าว เธอพยายามทรงตัวและร่ายเวทย์ แต่ทว่าสภาพที่เธออ่อนแรงทำให้เธอไม่สามารถทำในสิ่งที่เธอต้องการได้ เลือดไหลออกจากริมผีปากของเธอไปพร้อมๆกับเลือดที่ไหลออกจากแผลบริเวณหน้าท้อง

“เจ้าสร้างความเสียหายให้กับโลกนี้มามากพอแล้ว นาริส ทุกอย่างมันจบลงได้แล้ว”

ชายคนนี้พูดอีกครั้งพร้อมกับกุมหอกทั้งสองอย่างแน่น เขาใช้หอกสีทองและสีแดงแทงเข้าไปที่ร่างของนาริสซ้ำสอง ความเจ็บปวดไหลเข้ามาในร่างของเธออีกครั้ง สายตาของเธอเริ่มพล่ามัว เธอเริ่มไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง แม้รอบๆจะเต็มไปด้วยเปลวเพลิง แต่เธอกลับรู้สึกหนาว ดวงตาเธอปิดลงและเธอไม่รู้สึกอะไรเลย แม้แต่ความเจ็บปวดก็ตาม


====

หญิงผมน้ำตาลสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอลุกขึ้นมานั่งท่ามกลางห้องที่มืดมิด แม้อากาศจะหนาวเหน็บ แต่ผิวหนังของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอใช้มือของเธอสัมผัสกับหน้าท้องของตัวเองพร้อมมองไปกับรอบๆเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอเห็นมันเพียงแค่ฝันเท่านั้น เธอถอนหายใจฟอดใหญ่ออกมาเมื่อเธอรับรู้ว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่โลกนิทราเท่านั้น กระนั้นเธอลุกจากเตียงของตัวเองและเดินออกจากห้อง บ้านของเธอนั้นมืดมิดและเงียบสงบ มือข้างหนึ่งของเธอถือเทียนสีขาวที่เปลวเพลิงส่องสว่างอยู่ที่ปลายเทียน นาริสหยุดอยู่หน้าประตูไม้ เธอแง้มประตูไม้และมองไปเตียงนอน เธอเห็นโดมีนิกนอนหลับอยู่ บนผ้าห่มของเขามีโดโรธีที่นอนทับร่างของเขาอยู่ นาริสไม่ได้พูดอะไรเธอปิดประตูเบาๆเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมา

“เป็นเพียงฝันจริงๆด้วยซินะ” นาริสพูดกับตัวเองเบาๆ

เธอยืนเงียบและใช้มือของเธอจับคางของตนเอง สีหน้าของเธอกำลังครุ่นคิดและเต็มไปด้วยความกังวล เธอเดินกลับไปในห้องของตัวเอง เธอวางเทียนลงโต๊ะไม้ พร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา นาริสมองแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่า เธอคว้าปากกาขนนกขึ้นมาและจุ่มลงน้ำหมึก เธอเริ่มร่างข้อความลงบนกระดาษ พร้อมกับพูดเบาๆตามข้อความที่เธอเขียน

“ถึง แพตตัน”
“เจ้าสบายดีรึเปล่า? ข้าหวังว่าเจ้าจะสบายดี ข้ามีเรื่องอยากจะทราบจากเจ้า”

เมื่อเธอเขียนข้อความของเธอจนหมด เธอก็ลงนามว่า “รัตติกาล” ก่อนที่เธอจะหยิบกระดาษแผ่นนี้ขึ้นมาและใช้เปลวเพลิงเผามัน กระดาษแผ่นนี้หายไป แต่ทว่ามันไม่มีเศษกระดาษตกลงบนพื้นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

====

“ตึกๆ” เสียงของฝีเท้าย่ำลงพื้นดังขึ้น

มันเป็นเสียงฝีเท้าของชายรูปร่างกำยำในชุดเขียว ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านทหารในชุดเกราะที่ยืนตรวจตราข้างทาง ทหารชุดเกราะที่เขาเดินผ่านต้องหยุดทำความเคารพเขาทุกครั้ง ชายคนนี้เดินไปถึงประตูไม้บานหนึ่งก่อนที่เขาจะเคาะประตู สิ้นเสียงเคาะประตูของเขา ชายคนนี้ก็พูดขึ้น

“ท่านฮาร์ริงตั้น นี่ข้าเอง อคิลนัส” ชายที่ชื่ออคิลนัสขานขึ้นมา
“เข้ามาซิ” ชายหลังประตูกล่าวตอบรับ

อคิลนัสเปิดประตูห้อง เขาเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยกองเอกสารและกระดาษมากมาย เขาเป็นชายที่มีรูปร่างดูอ่อนเยาว์ รูปร่างของเขาดูแข็งแรง แม้เขาจะดูตัวเล็กกว่าอคิลนัสแต่เขาก็ดูแข็งแกร่งไม่แพ้กัน ผมของเขาเป็นสีแดงและสั้น

“มีอะไรหรือ อคิลนัส?” ฮาร์ริงตั้นพูดขึ้นมาก่อน
“ท่านครับ ตอนนี้เราสามารถยืนยันได้แล้วครับ ว่าจอมนางนาริสยังไม่ตาย” อคิลนัสรายงาน

ชายผมแดงที่ได้ยินข่าวเงียบลงไป เขาหลับตาลงอยู่ชั่วครู่ ฮาร์ริงตั้นลุกขึ้นมาและหันหลังไปหาหน้าต่างที่อยู่เบื้องหลังเขา เบื้องนอกนั้นมืดสนิท เขาไม่สามารถเห็นอะไรได้เลยเนื่องจากแสงสว่างถูกความมืดกลืนกินไปจนหมด

“นั่นซินะ เป็นจอมนาง คงไม่ตายง่ายๆแบบนี้หรอก” ฮาร์ริงตั้นพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่แม้สีหน้าของเขาจะนิ่งเฉย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“แล้วตอนนี้เจ้าเตรียมการอะไรบ้างแล้วรึยัง?” ชายผมแดงหันกลับมาถามผู้มาเยือน
“ข้าได้เตรียมทัพที่จะเตรียมโจมตีที่พักของนางแล้วขอรับ” อคิลนัสตอบ

“นางมีกองทัพไหม?” ชายผมแดงถามต่อ
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่จากที่รายงานมา ไม่มีใครอยู่ในคฤหาสน์ของนาง”
“เว้นแต่เด็กมนุษย์เพศชายคนนึง” อคิลนัสตอบตามที่ได้รับรายงาน

“นางจับทาสไว้งั้นหรือ?” ดวงตาของฮาร์ริงตั้นเบิกกว้างขึ้นเมื่อเขาได้รับรายงานดังกล่าว
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” อคิลนัสพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้ากำชับกองทัพของเจ้าว่าพยายามช่วยเด็กคนนี้ให้ได้ และระวังด้วยว่าบางทีจอมนางอาจจะจับเด็กคนนี้เป็นตัวประกัน” ฮาร์ริงตั้นออกคำสั่ง

“ขอรับ” อคิลนัสรับคำสั่ง
“แล้วท่านฮาร์ริงตั้นจะไม่ร่วมรบศึกนี้กับข้างั้นหรือ?” อคิลนัสถามต่อ

ฮาร์ริงตั้งหันไปมองชุดเกราะสีดำที่ถูกวางไว้ในห้อง มันเป็นชุดเกราะที่สง่างามและดูแข็งแกร่งดุจหินผา มันเป็นชุดเกราะที่เลื่องชื่อหลังจากที่ผู้สวมใส่มันปลิดชีพจอมมารลงได้ เขาหลับตาลงและยิ้มออกมา

“ตอนนี้คงไม่ล่ะ ร่างกายข้าไม่เหมือนแต่ก่อน ข้าไม่ได้แข็งแรงเหมือนช่วงสองปีที่แล้ว”
“ข้าคงต้องฝากเจ้าด้วยล่ะ อคิลนัส” แฮร์ริงตั้นยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” อคิลนัสตอบพร้อมกับวางกำปั้นไว้บนอกซ้ายของเขา

ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีชายอีกคนแอบฟังอยู่ เขาเป็นชายที่มีใบหน้าทะเล้นและเป็นใบหน้าที่หากใครได้ชกใส่คงมีความสุขไม่น้อย เส้นผมของเขาขาวโพลนดุจหิมะ ในมือของเขากำกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ด้วย

“ข้ามีเรื่องจะบอกยอดรักของข้าเยอะแยะเลยล่ะ” ชายคนนี้พูดในใจเบาๆ


===


Spoiler:
Gudomana
Gudomana
Posts : 52
Join date : 2018-08-20

Shining in The Darkness  Empty Re: Shining in The Darkness

Mon Jan 07, 2019 8:33 pm
Episode 2 : จดหมาย


“กึกๆ” เสียงของล้อเกวียนที่หมุนบนพื้นดินดังก้องไปทั่ว

กิ้งก่าสีแดงขนาดใหญ่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ มือของมันจับเชือกที่จูงกับอาชาสีน้ำตาลสองตัวที่ก้าวเท้าไปข้างหน้า บริเวณคอของมันมีปลอกคอที่ทำจากเหล็ก เกร็ดของมันเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย บนเกวียนคันนี้มีผู้โดยสารอยู่ด้วยสองคน ทั้งสองคลุมร่างกายของตัวเองด้วยผ้าเก่าๆ เจ้าของร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าที่ส่งกลิ่นเหมือนคือนาริสและโดมีนิก หญิงผมน้ำตาลพิงหลังของตัวเองกับเกวียน พลางมองไปยังคนขับตลอดเวลา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง  ตรงข้ามของเธอคือโดมีนิกที่ไม่ได้มองไปยังคนขับ แต่กลับมองไปยังหญิงที่เขาพึ่งเจอไม่ถึงเดือน ล้อเกวียนหยุดลง

“ถึงแล้วขอรับ” กิ้งก่าสีแดงพูดโดยไม่หันกลับมามองผู้โดยสาร

นาริสและโดมีนิกก้าวลงจากเกวียน นาริสหยิบเหรียญเงินออกมาและมอบให้กับกิ้งก่าสีแดงตัวนี้ เมื่อมันได้รับเงิน มันก็ขับรถเกวียนออกจากจุดหมาย ชายหญิงสองคนยืนอยู่หน้าคฤหาสน์สีขาวขนาดใหญ่ โดมีนิกยืนมองด้วยสายตาที่เป็นประกาย เขาไม่เคยบ้านที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ด้วยความตื่นเต้น เด็กน้อยคนนี้จึงวิ่งไปหาประตู

“โดมีนิก เดี๋ยวก่อน” นาริสเปล่งเสียงขึ้น

น้ำเสียงที่เข้มแข็งของนาริสสะกดให้ชายหนุ่มหยุด ใบหน้าของโดมีนิกเต็มไปด้วยความสับสนและตกใจ นาริสเดินตรงไปหาประตูและใช้มือของเธอสัมผัสเข้ากับประตู แสงสีม่วงที่คลุมคฤหาสน์แห่งนี้เริ่มคลายตัวลงและหายไปในที่สุด นาริสใช้มือของเธอผลักประตูรั้วสีดำไปข้างหน้า เธอเข้าไปหลังจากที่เธอผลักให้มีที่มากพอ โดมีนิกเดินตามหญิงสาวคนนี้หลังจากที่เธอเดินผ่านรั้วสีดำ แม้คฤหาสน์แห่งนี้จะกว้างใหญ่ แต่ทุกอย่างนั้นเงียบสงัด พวกเขาได้ยินแต่เสียงฝีเท้าของพวกเขาที่เหยียบลงบนพื้นดินเท่านั้น

“แอ๊ด”

ประตูไม้สองบานเปิดอย่างช้าๆ โดมีนิกถูกต้อนรับด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหรูหราที่เขาไม่เคยสัมผัสมากกว่า ชานเดเลียร์ที่สวยงามที่ถูกแขวนบนเพดาน พรมสีแดงที่ถูกปูยาวตลอดทาง รูปภาพมีราคาที่ถูกแขวนบนกำแพง กระนั้นแม้ทุกอย่างจะดูสวยงาม แต่ด้วยกาลเวลาทำให้มีฝุ่นเกาะอยู่บนหลายพื้นที่ในบ้าน นาริสเดินนำหน้าโดมีนิก เธอดึงผ้าที่คลุมศีรษะของเธอออก

“ยินดีต้อนรับสู่บ้านของข้า” นาริสกล่าวต้อนรับ
“นี่บ้านท่านงั้นหรือ?” โดมีนิกกล่าวด้วยความตกใจ
“จะเรียกว่าบ้านก็ไม่ถูกเท่าไหร่ ปกติข้ามักจะมาพักที่นี่เวลาข้าต้องการหนีความวุ่นวายน่ะนะ” นาริสพูดด้วยรอยยิ้ม

ทว่ารอยยิ้มของเธอปรากฏได้ไม่นาน ใบหน้าของเธอกลับมาจึงเครียด

“โดมีนิก...เจ้าแน่ใจจริงๆนะ ว่าเจ้าจะอยู่กับข้า? ข้าเป็นจอมนางนะ” นาริสพูดความจริงออกมา
“ท่านนาริสอาจจะเป็นจอมนางก็จริง แต่ข้าไม่รู้สึกถึงความโหดร้ายจากท่านเลย” โดมีนิกตอบคำถามกลับหลังจากที่เขายืนคิดอยู่ชั่วครู่
“ข้ารู้สึกว่าท่านใจดีและอ่อนโยน ต่างจากที่คนอื่นพูด” ชายผมขาวตอบด้วยความจริงจัง

“อีกอย่างท่านนาริสช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าก็คิดว่าข้าควรจะตอบแทนท่าน”
“ข้าสามารถทำอาหารได้และทำความสะอาดได้ ข้าอยากจะรับใช้ท่าน” เด็กหนุ่มผมขาวพูดต่อ
“งั้นหรือ…” นาริสหลับตาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นจากนี้ไป ข้าคงต้องรบกวนเจ้าด้วยล่ะนะ” หญิงผมน้ำตาลกล่าว

====

นาริสนั่งอยู่ตรงโต๊ะประจำในห้องนอนของเธอ เธอนั่งเฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไร ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เธอยังคงรอคอยให้จดหมายที่เธอส่งได้รับการตอบรับมาในเร็ววัน ในขณะที่เธอนั่งอยู่ เธอมองโดมีนิกที่กำลังขว้างกิ่งไม้อยู่บริเวณสวนของคฤหาสน์

“โดโรธี ไปคาบมา” โดมีนิกตะโกน

เสียงของเด็กหนุ่มที่เริงร่าลอยผ่านหน้าต่างเข้ามา ด้วยความเงียบงันของบรรยากาศทำให้นาริสสามารถได้ยินทุกอย่างชัดเจน เมื่อกิ่งไม้ถูกขว้างออกไป โดโรธีก็วิ่งตามกิ่งไม้ หางของมันกระดิกไปมาด้วยความตื่นเต้น มันคาบกิ่งไม้ที่โดมีนิกโยนและวิ่งกลับมาหาเจ้านายของมัน มันคายไม้ลงพื้น และมองเจ้านายของมันด้วยความตื่นเต้น โดมีนิกอุ้มมันขึ้นมาและใช้ใบหน้าของเขาทูไปกับขนสีน้ำตาลของสุนัขพร้อมกับพูดว่า

“ใครเป็นเด็กดี ใครเป็นดี เจ้าไงล่ะ เจ้าไงล่ะ”

โดมีนิกวางโดโรธีที่ยังคงตื่นเต้นลงบนพื้นหญ้า ชายผมขาวก้มหยิบกิ่งไม้มาจากพื้น โดมีนิกหันไปและเห็นนาริสที่มองเขาจากหน้าต่าง เด็กหนุ่มผมขาวโบกมือให้นายหญิงของตัวเอง นาริสยิ้มให้และโบกมือกลับไปให้

====

ยามวิกาลมาถึงในเวลาไม่นาน แสงสว่างและไออุ่นถูกความมืดอันหนาวเน็บกลืนกิน คฤหาสน์นั้นมืดตัวลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ดวงตะวันลับขอบฟ้า ชายหนุ่มผมขาวและสุนัขคู่ใจเดินกลับไปยังห้องนอนของเขาด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าก่อนที่เขาจะเปิดประตูห้องนอนของตน ประตูห้องนอนข้างๆของเนริสก็ถูกเปิดออกมา โดมีนิกหยุดและหันไปตามเสียง เขาเห็นนาริสที่เปิดประตูออกมา เธออยู่ในชุดเดรสสีขาวซึ่งเป็นชุดนอนประจำของเธอ

“มีอะไรหรือ ท่านนาริส” โดมีนิกถามด้วยสีหน้าฉงน
“คืนนี้เจ้ามานอนห้องข้าได้ไหม?” นาริสถามด้วยคำถามแปลกๆ
“เอ๊ะ?” โดมีนิกอุทานออกมา

“ท่านเป็นเจ้านายข้า ข้าไม่ควรร่วมเตียงกับท่านหรอก” โดมีนิกปฏิเสธอย่างสุภาพ
“แต่สำหรับข้า เจ้าเป็นเหมือนน้องชายข้านะ”
“อีกอย่าง ถ้าเจ้ามองว่าข้าเป็นเจ้านายเจ้าจริง เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธคำสั่งของข้าใช่ไหมล่ะ?” นาริสแสยะยิ้มกับประโยคคำพูดของเธอ มันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภูมิใจในชัยชนะของตน

โดมีนิกเงียบ เขาพยักหน้าและก้าวห้องนอนของจอมนาง โดโรธีเดินตามเจ้านายของตัวเองติดๆ ชายผมขาวมองเตียงที่สะอาดสะอ้าน มันไม่มีกองหนังสือจำนวนมากเหมือนกับที่เขามักจะเห็นในทุกๆเช้า โดมีนิกหยิบโดโรธีจากพื้นและวางไว้บนที่นอน สุนัขขนสีน้ำตาลเดินเป็นวงกลมก่อนที่มันจะขดตัวลงไปนอนบนผ้าห่ม โดมีนิกสอดตัวเองเข้าไปในเตียง เจ้าของห้องทิ้งตัวลงบนเตียงอีกข้างจากโดมีนิก ดวงตาของทั้งสองเปิดอยู่ ไม่มีใครปริปากพูดอะไร

“ท่านดูกังวลนะ” โดมีนิกพูดขึ้นมา โดยไม่ได้หันไปมองนาริสที่ทอดตัวอยู่ข้างๆ
“หืม?” นาริสอุทานออกมาก่อนที่เธอจะหันหัวของเธอไปยังโดมีนิกที่นอนอยู่เคียงข้างกาย
“ตั้งแต่เมื่อวาน ท่านนาริสดูแปลกๆ ท่านมีเรื่องกังวลอะไรหรือเปล่า?” ชายผมขาวพูดพร้อมกับหันไปมองหน้ากับนายหญิงของตัวเอง

นาริสเบือนตาหนีและมองเพดานไม้

“เจ้าคิดไปเอง” นาริสโกหก
“ขอรับ” โดมีนิกตอบพร้อมกับหันศีรษะไปอีกด้านหนึ่ง
“แต่ขอบใจที่เป็นห่วงข้านะ” จอมนางพูดต่อ

===

“จิ๊บๆ” เสียงของวิหคในยามเช้าดังผ่านหน้าต่าง

นาริสลืมตาขึ้นช้าๆ เธอมองไปด้านข้างและเห็นโดมีนิกและโดโรธีที่หลับอย่างสงบ นาริสมองไปยังหน้าต่างที่อยู่เบื้องหลังโต๊ะ เธอเห็นนกพิราบสีขาวที่ยืนเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง นาริสเดินไปยังหน้าต่างบานดังกล่าวและเปิดหน้าต่างออก เธอมองนกพิราบที่ไม่ขยับไปไหน บริเวณขาของมันมีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกผูกไว้ด้วย นาริสเอื้อมมือไปดึงแผ่นกระดาษออกและกางแผ่นกระดาษที่ถูกติดไว้ออกจากขาของมัน เธออ่านจดหมายอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเธออ่านจบ เธอก็ถอนหายใจฟอดใหญ่ออก พร้อมกับลดมือของตัวเองลง แววตาของเธอเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความพ่ายแพ้และผิดหวัง เธอหันกลับไปมอง “ครอบครัว” ของเธอที่ยังคงหลับไหล

โดโรธีลืมตาตื่นขึ้นมา มันมองนาริสที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง เจ้าปุยขนน้ำตาลหันไปใช้ลิ้นของมันเลียหน้าโดมีนิกที่นอนอยู่บนเตียง ลิ้นที่สัมผัสใบหน้าของโดมีนิกทำให้ชายผมขาวลืมตาตื่นขึ้นมา หนุ่มน้อยยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนคู่ใจยืนอยู่หน้าตัวเอง เขาใช้มืออันเรียวบางลูบศีรษะของมัน โดมีนิกหันไปมองนาริสที่ยืนมองหน้าต่าง

“อรุณสวัสดิ์ ท่านนาริส” โดมีนิกพูดกับนายหญิงของตัวเอง
“อืม” นาริสตอบกลับด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่
“ท่านนาริสเป็นอะไรหรือ?” โดมินิกแสดงความกังวลออกมาหลังจากที่เห็นหน้าที่อมทุกข์ของหญิงสาว

นาริสไม่ได้พูดอะไร เธอยื่นกระดาษในมือของเธอให้กับชายหนุ่ม โดมีนิกรับไว้และอ่านข้อความบนกระดาษแผ่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกโพลนขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ข้าเขียนจดหมายไปถามสหายของข้า...ดูเหมือนพวกผู้กล้า จะโจมตีคฤหาสน์นี้ในเร็ววัน” นาริสพูดย้ำในขณะที่โดมีนิกกำลังอ่านข้อความ มืออันเรียวบางของเขาสั่นด้วยความกลัว
“แล้ว พวกเราจะทำเช่นไร?” หนุ่มผมขาวถาม

นาริสเงียบ ปกติแล้วหญิงผมยาวคนนี้มักจะมีคำตอบให้เสมอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่สามารถมอบคำตอบให้ได้

“ข้าว่าข้าควรจะหนีออกจากที่นี่” นาริสพูดขึ้นมาพร้อมกับแหงนหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังหลงทาง
“ถ้างั้นข้าจะไปเก็บของเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” โดมีนิกดีดตัวจากเตียงและเตรียมเก็บของ
“ไม่ใช่แบบนั้น เจ้าน่ะอยู่ที่นี่...ยังไงเสีย ผู้กล้าคงไม่ทำร้ายเจ้าหรอก พวกมันต้องการแค่ข้า” นาริสพูด

“เอ๊ะ?” โดมีนิกอุทานออกมาด้วยความสับสน
“เมื่อผู้กล้ามา บอกพวกมันว่าข้าจับเจ้าไว้เป็นทาส ตอนนี้ข้าหนีไปแล้ว” นาริสพูดต่อ
“ตะ แต่ท่านนาริส ข้าเป็นบริวารของท่าน ข้าต้องไปกับท่านซิ” โดมีนิกเถียงเจ้านายของตัวเอง

“นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ โดมีนิก” นาริสขึ้นเสียงพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของโดมีนิกไว้แน่น โดมีนิกรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากแรงบีบของฝ่ามือนาริส
“เจ้าก็น่าจะรู้นี่ ว่าตราบใดที่หัวของข้ายังไม่ถูกเสียบประจาน พวกมันจะไม่หยุดไล่ล่าข้า”
“และพวกมันก็พร้อมทำทุกอย่าง เพื่อทำเช่นนั้น” แววตาของนาริสสะท้อนใบหน้าของเด็กหนุ่ม น้ำเสียงของเธอจริงและเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง

โดมีนิกยืนเงียบ น้ำใสเอ่อล้นออกมาจากดวงตาสีแดงของเขา มันไหลผ่านแก้มสีขาวและหยดลงบนพื้นไม้ ร่างกายของโดมีนิกสั่นไปด้วยความเศร้าหมอง นาริสคลายมือของตัวเองออกเมื่อเห็นปฏิกริยาของคนในครอบครัวเธอ

“แต่ท่านนาริสเป็นครอบครัว คนเดียวของข้า”
“ข้าไม่อยากจากท่านไป” โดมีนิกพูดพร้อมกับน้ำตา

นาริสเงียบอยู่ชั่วครู่ ร่างกายของเธอถูกสะกดนิ่งด้วยน้ำตาของเด็กหนุ่มที่แสนบริสุทธิ์คนนี้

“เจ้ารอตรงนี้แปปนะ” นาริสพูดพร้อมกับก้าวออกจากห้อง

โดมีนิกที่ร่ำไห้ทำหน้าฉงน แม้แก้มของเขาจะนองไปด้วยน้ำตาก็ตาม เธอเดินกลับมาที่ห้องพร้อบกระดาษเก่าๆแผ่นใหญ่ เธอกางมันลงโต๊ะประจำของเธอ มันเป็นแผนที่ของดินแดนแห่งนี้ มันไม่ได้เป็นแผนที่ที่ละเอียดมาก แต่ก็มีจำนวนหลายเมืองมากมายถูกเขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนี้ โดมีนิกไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลเท่านี้ เธอใช้นิ้วของเธอชี้ไปยังทางตอนเหนือ มันมีชื่อเขียนไว้ว่า “การ์ซาเนีย”

“ข้ามีบ้านอีกหลังอยู่ในนคร การ์ซาเนีย” นาริสพูดขึ้น
“เราจะไปที่นั่นกัน แต่ว่า...เราคงต้องแยกกันไป” หญิงผมน้ำตาลพูดพร้อมกับมองหน้าของโดมีนิก
“เจ้าไปทางทิศตะวันตก ส่วนข้าจะไปทางทิศตะวันออก” จอมนางลากนิ้วของตัวเองไปกับกระดาษในขณะอธิบาย

“ตอนที่เจ้าถึงเมืองแรก ข้าอยากให้เจ้าจ้างทหารรับจ้างกลุ่มบเซริก์ให้คุ้มกันเจ้า” นาริสพูดกับโดมีนิก
“ขอรับ” โดมีนิกใช้มือของเช็ดน้ำตาที่ไหลนองก่อนจะพยักหน้าตอบเจ้านายของตน

นาริสเดินมาและย่อตัวลงพร้อมกับสวมกอดเด็กหนุ่ม มือของนาริสสัมผัสที่แผ่นหลังของชายผมขาว โดมีนิกสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ออกมาจากร่างของหญิงสาว นาริสวางคางของตัวเองบนหัวไหล่ของโดมีนิก

“ไม่เป็นไร เราจะได้เจอกันอีก” นาริสพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ท่ามกลางเสียงแผ่วเบา มันกลับเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยไออุ่น
“ข้าสัญญา” เธอพูดต่อพร้อมกับปล่อยร่างของโดมีนิกออก เธอมองโดโรธีที่ยืนอยู่บนพื้น
“โดโรธีข้าฝากเจ้าปกป้องโดมีนิกแทนข้าด้วยนะ” นาริสพูดกับสุนัขขนสีน้ำตาล

มันเห่าตอบรับกลับมา ราวกับพูดว่า “ไว้ใจข้าได้เลย” นาริสยิ้มพร้อมกับใช้มือของเธอลูบศีรษะของสหายขนปุย

====

กลุ่มคนจำนวนมากยืนล้อมรอบ คฤหาสน์สีขาว ทุกอย่างนั้นมืดมิดมีเพียงแต่แสงไฟจากคบเพลิงเท่านั้นที่เป็นแสงสว่างในความมืดมิด อคิลนัสยืนอยู่หน้าสุด มือทั้งสองข้างของเขากำหอกคนละเล่ม เล่มหนึ่งมีสีแดงและอีกเล่มประกายแสงด้วยสีทอง

“บุก!!” อคิลนัสตะโกนออกำสั่ง

กลุ่มคนที่ถือคบเพลิงได้ออกแรงสุดกำลังและเขวี้ยงคบเพลิงเข้ากับคฤหาสน์ เปลวเพลิงทำให้คฤหาสน์ลุกโชนไปด้วยไฟ เหล่านักรบเปล่งเสียงสุดกำลัง พร้อมกับบุกเข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว ทว่าสิ่งที่เขาได้เห็นคือความว่างเปล่า พวกเขาไม่พบสิ่งมีชีวิตอะไรเลย ไม่นานนักเปลวเพลิงก็ดับลง บ้านที่งดงามกลับกลายเป็นซากปะหลักหักพัง ควันไฟโพยพุ่งสู่ท้องฟ้า มันลอยขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั้งมันถูกสายลมพัดปลิวไป อคิลนัสยืนอยู่หน้าประตู เขายืนมองบ้านที่ถูกเผาทำลายด้วยสายตาฉงน

“รายงานที่ข้าได้รับมาผิดงั้นหรือ?” อคิลนัสพูดกับตัวเองเบาๆ
“แต่ข้าคิดว่ารายงานท่านไม่ผิดนะ” เสียงของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของเขา

อคิลนัสหันกลับไป เขาเห็นหญิงผมสีทรายในชุดสีดำที่ผมยาวถึงกลางแผ่นหลังของเธอ รูปร่างของเธอดูบอบบางและน่าทะลุทนอม ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและอ่อนเยาว์กว่ามากหากเทียบกับคู่สนทนาของเธอ เธออยู่ในชุดสีเข้มและกระโปรงสีเดียวกัน บนแผ่นหลังของเธอมีผ้าคลุมสีแดงที่เด่นเป็นสง่า ข้างกายของเธอแนบฝักดาบเรเปียร์ไว้อยู่ด้วย ในมือของเธอมีมันฝรั่งอยู่ด้วย สภาพของมันยังคงดูสด และหากกัดมันลงไป รสชาติของมันก็คงเป็นรสชาติที่คุ้นเคย

“ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้นล่ะ เฟรอยด์ส?” อคิลนัสถาม
“เจ้าดูมันฝรั่งนี่ซิ” เธอพูดพร้อมกับยื่นมันฝรั่งมาหาชายเกราะสีมรกต
“สภาพของมันยังคงดูสดอยู่เลย ราวกับว่าที่นี่มีคนอยู่ จนถึงเร็วๆนี้” เฟรอยด์สอธิบาย

“ถ้างั้นพวกมันอาจจะอยู่ใกล้ๆที่นี่งั้นหรือ?” อคิลนัสถามต่อ
“เป็นไปได้” เฟรอยด์พยักหน้า
“เจ้าน่ะ ไปหยิบแผนที่มาให้ข้าหน่อย” ชายร่างกายกำยำตะโกนสั่งทหารที่อยู่รอบๆ
“ครับ!!” ทหารที่ได้รับคำสั่งตอบกลับอย่างหนักแน่น

ทหารคนนี้วิ่งหายไปไม่นานก่อนที่เขาจะส่งแผนที่ให้กับคนร้องขอแผนที่ อคิลนัสกางแผนที่ออก หญิงผมสีทรายกระเทิบมาอยู่ข้างๆและมองแผนที่ด้วยกัน

“จากนี่ไปจอมนางสามารถหนีได้สองทาง คือทางทิศตะวันตกและตะวันออก”
“เว้นเสียแต่มันจะลัดผ่านป่าเข้าไป” อคิลนัสพูดพลางกางแผนที่
“มันคงเข้าป่าไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นจอมนาง ข้ามั่นใจว่าพวกมันไม่มีทางเอาชีวิตรอดในป่าได้แน่นอน” เฟรอยด์สพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“ถ้างั้นข้าจะไปทางทิศตะวันตก ส่วนเจ้าไปทางทิศตะวันออก” อคิลนัสเอ่ย
“เข้าใจล่ะ ตะวันขึ้นขอบฟ้าเมื่อไหร่ พวกข้าจะออกเดินทางเมื่อนั้น” เฟรอยด์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
Gudomana
Gudomana
Posts : 52
Join date : 2018-08-20

Shining in The Darkness  Empty Re: Shining in The Darkness

Sat Jan 12, 2019 1:41 pm
Episode 3 : ฟ้าเดิม แผ่นดินใหม่

แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านหน้าต่าง แสงที่ลอดหน้าต่างนั้นทำให้ห้องไม้เล็กๆสว่างไสว เสียงนกร้องในยามเช้าดังก้องผ่านหน้าต่าง ชายหนุ่มผมแดงนั่งอยู่หลังโต๊ะ ดวงตาของเขาปิดสนิท มือของเขาทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะไม้ แม้บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความสงบแต่ความคิดของเขาเหมือนคลื่นพายุที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย บนโต๊ะของเขามีกองเอกสารมากมาย แต่กระนั้นเขาไม่ได้แตะเอกสารของเขาเลยแม้แต่น้อย เสียงรบกวนในหัวของเขาทำให้เขาไม่สามารถตั้งสมาธิกับอะไรได้เลย แฮร์ริงตั้นลืมตาขึ้นมาเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูที่เปิดออก เขาเห็นหนุ่มผมขาวหน้าทะเล้นที่เป็นคนเปิดประตูบานนี้ขึ้น แฮร์ริงตั้นทำหน้าไม่ค่อยสบอะไรเท่าไหร่เมื่อเห็นชายคนนี้

“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เคาะประตูก่อนเข้ามา”
“โธ่ แฮร์ริงตั้น นี่ข้าเองแพตตัน สหายรักของเจ้า ข้าจำเป็นต้องเคาะประตูหรือ?” แพตตันพูดด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท
“ต่อให้เจ้าเป็นสหายรักของข้าหรือเป็นสหายที่ข้าชังที่สุด ยังไงเจ้าก็ต้องเคาะประตู” แฮร์ริงตั้นตอบ

“จ้าๆ ถ้างั้นข้าต้องขอโทษด้วย” แพตตันตอบขอโทษแบบส่งๆ
“แล้วเจ้ามีธุระอันใดกับข้า?” ชายผมแดงถามต่อ
“ข้าได้ยินมาว่า จอมนาง ยังไม่ตายงั้นหรือ?” ชายผมขาวถามสิ่งที่อยู่ในใจเขา

“ข้าเองก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ แต่สายของข้ารายงานมาว่าพบจอมนางยังมีชีวิตอยู่” แฮร์ริงตั้นเล่าให้ฟัง
“ไม่สามารถยืนยัน?” แพตตันหลี่ตาลงและถามด้วยความสงสัย
“ข้าส่งอคิลนัสกับเฟรอยด์สไป และข้ากำลังรอรายงานจากทั้งสองอยู่” อดีตผู้กล้าพูด
“แล้วนกที่อยู่ตรงกระจกนั่น ใช่ พิราบของพวกเขารึเปล่า?” แพตตันตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหน้าต่างข้างหลังแฮร์ริงตั้น

หนุ่มผมแดงหันกลับไปเบื้องหลังของตัวเอง เขาเห็นนกพิราบที่ยืนเกาะขอบหน้าต่าง ผู้กล้าลุกไปพร้อมกับแกะกระดาษออกจากขาของนก เขากางกระดาษออก และอ่านข้อความบนกระดาษ เมื่อเขาอ่านข้อความเสร็จ เขาก็หันไปหาแพตตันที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

“ว่าไงบ้าง?” แพตตันเป็นฝ่ายลงมือพูดก่อน
“ไม่เจอใครเลย แต่ดูเหมือนยังมีคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นก่อนหน้าที่พวกเราจะไปถึงไม่นาน” แฮร์ริงตั้นพูดโดยไม่เงยหน้ามาพูดกับแพตตันเลย
“แต่ว่าเฟรอยด์ยกทัพไปดักรอที่เมืองต่อไปแล้ว ถ้าเจอจอมนาง เราคงจะพอจับนางได้บ้าง” แฮร์ริงตั้นพูดต่อ

แพตตันพยักหน้า หลังจากที่เขาได้ทราบข่าวจากปากของแฮร์ริงตั้น

“ข้าขอลงพื้นที่ได้ไหม? ข้าอยากจะช่วยเจ้าตามล่าจอมนาง” แพตตันเสนอตัว
“อย่าเลย เจ้าอยู่นี่และคอยให้ข้อมูลข้าจากเครือข่ายของเจ้าดีกว่า” แฮร์ริงตั้นปฏิเสธ
“ตามใจ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้” แพตตันตอบ

แพตตันหันหลังกลับไป เขาเดินตรงไปยังประตูบานเดียวที่ใช้เข้าออกห้องทำงานของผู้กล้า ทว่าก่อนที่ร่างของเขาจะเดินผ่านช่องประตู เขาก็หยุดและหันมาพูดกับชายอีกคนที่อยู่ในห้อง

“เจ้าดูเครียดมากนะ ข้าเห็นผมหงอกของเจ้าเพิ่มอีกสองสามเส้น” แพตตันยิ้มด้วยรอยยิ้มยียวน
“เหอะ” แฮร์ริงตั้นปล่อยเสียงที่ไม่พอใจออกมา
“ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ” แพตตันพูดด้วยน้ำเสียงยียวนก่อนออกจากห้อง แต่แม้ความกวน ลึกๆมันมีความหมายที่ลึกกว่างนั้น

หนุ่มผมแดงเดินไปหาชุดเกราะสีดำของเขา มันสะท้อนภาพของใบหน้าตัวเขาเอง แฮร์ริงตั้นเห็นเส้นผมสีขาวที่ปะปนอยู่ในเส้นผมสีแดงสดของเขา สีหน้าของเขาแสดงถึงความกังวล เขาถอนหายใจฟอดใหญ่ออกมาก่อนที่เขาจะกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

====

“กึกๆ”

รถเกวียนคันหนึ่งวิ่งอยู่บนท้องถนน ผู้คุมเกวียนนั้นเป็นชายชราที่ดูใจดี ร่างของเขาผอมแห้ง ผิวหนังของเขาเหี่ยวย่นเช่นเดียวกันกับเส้นผมของเขาที่ขาวโพลน ชายคนนี้ฮัมเพลงประกอบกับเสียงล้อเกวียนที่เหยียบย่ำบนถนน บนเกวียนนั้นมีถังผลไม้มากมายวางอยู่ แต่นอกจากผลผลิตแล้ว มีเด็กหนุ่มผมขาวที่นั่งอยู่เคียงข้างกับถังไม้ ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มมีสุนัขขนสีน้ำตาลนั่งอยู่ด้วย มันมองล่อกแล่กกับบรรยากาศที่มันไม่คุ้นเคย หลังของร่างบางพิงกับเกวียน มันทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้ว ต่างกันเพียง เขาไม่ได้มีผ้าคลุมปกป้องตัวตนของเขา และนาริสที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม

ความเงียบงันที่ดังก้องไปกับอากาศจางหายไป เขาก็เริ่มได้ยินเสียงของผู้คน โดมีนิกใช้มือของเขาแง้มเปิดผ้าสีขาว เขาเห็นผู้คนที่เดินไปมามากมาย แม้มันจะต่างถิ่น แต่มันก็เป็นบรรยากาศที่เขาคุ้นเคยดี รถเกวียนหยุดลงช้าๆ

“เจ้าหนู ถึงแล้ว” ชายชราหันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“อ๊ะ ขอบคุณมากขอรับ” โดมีนิกกล่าวขอบคุณพร้อมเตรียบหยิบเหรียญออกมาจากถุงผ้า

มันเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างมาก โดยนาริสมอบให้เพื่อใช้ในการเดินทาง

“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหนู ข้ายินดีที่จะช่วย” ชายแก่ปฏิเสธเงินของโดมีนิกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณมากขอรับ” โดมีนิกกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนที่เขาจะก้าวลงจากเกวียน

เกวียนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆอีกครั้ง ชายแก่หันกลับมาพร้อมกับโบกมือให้โดมีนิก ชายผมขาวตอบรับพร้อมกับโบกมือให้กับชายแก่ โดยมืออีกข้างของเขายังคงกอดโดโรธีไว้

“จ๊อก” เสียงท้องของโดมีนิกคำรามขึ้นมา
“นั่นซินะ ข้ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ที่ข้าออกมาเลย” โดมีนิกหัวเราะพร้อมกับมองโดโรธีที่มองหน้าของเขาพร้อมกับสบัดหางไปมา

โดมีนิกอุ้มโดโรธีและตรงไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มร่างบางกวาดตาไปเรื่อยๆ เขามองหาร้านอาหารในสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคย ไม่นานเขาก็เห็นอาคารขนาดกว้าง หน้าประตูมีแผ่นไม้ที่ถูกแขวนอยู่เหนือประตู มันเขียนว่า “ร้านเหล้า” โดมีนิกเดินตรงไป ทว่าก่อนที่เขาจะสามารถเข้าไปในอาคาร เขาก็เจอชายสองคนที่เดินสวนออกมา ชายสองคนมีกลิ่นเหล้าที่โชยออกมา ชายคนหนึ่งเป็นชายร่างสวม ส่วนอีกคนเป็นชายร่างท้วม หากให้เดาจากใบหน้า อายุของทั้งสองคงใกล้กัน เขาเดินโงนเงนและทรงตัวไม่ค่อยได้ ทั้งสองหยุดเดินเมื่อเจอโดมีนิกที่ยืนขวางทางพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“หมาในมือเจ้าน่ารักดีนะ” ชายร่างท้วมพูดออกมา กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งจากปากของคนนี้ ชายร่างท้วมยื่นมือไปหาโดโรธี ทว่าเจ้าหมาขนสีน้ำตาลส่งเสียงขู่

โดมีนิกรีบดึงโดโรธีหลบ เขากลัวว่าสหายคู่กายของเขาจะฝังเคี้ยวลงบนมือของชายร่างท้วม ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหาได้

“ฮ่ะๆ ขอบคุณมากขอรับ ถ้างั้นข้าขอตัวก่อน” โดมีนิกกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มและเตรียมจะเดินเข้าร้าน

ทว่าเขาชายทั้งสองไม่ขยับ ความรู้สึกกลัวเริ่มบ่มเพาะในตัวของโดมีนิกขึ้นมา โดโรธีเริ่มเสียงเห่า ทว่าเสียงเห่าของเจ้าหมาน้อยแทบไม่ต่างกับสายลมที่พัดผ่านไป เท้าของโดมีนิกถอยออกไปสองสามก้าว

“นี่ เจ้าหนู เจ้าพอจะมีเงินให้พวกข้ายืมไหม พวกข้าต้องการ” ชายร่างสูงเอื้อมมือไปหยิบมีดออกมาพร้อมกับเดินตรงไปหาเหยื่อของมัน
“ข้าให้ไม่ได้ ข้าต้องใช้เงินพวกนี้” โดมีนิกปฏิเสธแม้เขาจะรู้สึกว่าความกลัวได้เข้าควบคุมเขาก็ตาม
“ซักเหรียญทอง เหรียญสองเหรียญจะเป็นอะไรไป” ชายร่างท้วมพูดขึ้นมาบ้างในขณะก้าวตามจังหวะพร้อมกับเพื่อนของเขา

ในขณะที่โดมีนิกกำลังถอย เขาก็ชนกับอะไรบางอย่าง โดมีนิกหันกลับไปเขาหญิงที่สูงกว่าเขาไม่มาก รูปร่างของเธอผอมเพรียว ชุดของเธอเป็นสีดำสนิทตัดกับผมของเธอที่เป็นสีขาว เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าทั้งหมดของเธอได้ เพราะดวงตาถูกผูกด้วยผ้าสีดำ โดมีนิกทำหน้าสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าหญิงคนนี้เป็นใครและเพราะเหตุใดมายืนตรงนี้

“ว่าไงน้องสาว อยากจะสนุกกับพวกเพร่เปล่า” ชายร่างผอมพูดแทะโลมสาวปริศนาคนนี้

เธอเงียบ โดมีนิกสัมผัสได้ถึงออร่าของความเย็นยะเยือกจากตัวนาง

“รอพวกพี่หาเงินจากไอ้เด็กเวรนี่ก่อนนะ” บุรุษร่างท้วมพูดต่อ

ทว่าคำตอบของเธอคือการใช้กำปั้นของเธอชกเข้าใส่กลางหน้าท้องของชายร่างท้วม เพียงหมัดเดียวเท่าก็สามารถทำให้ชายที่มึนเมาลงไปนอนกองกับพื้น ดวงตาของโดมีนิกและชายร่างท้วมเบิกขึ้นด้วยความตกใจ ผู้คนรอบๆหยุดมอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายร่างท้วมวิ่งมาและเตรียมใช้มีดแทงเข้าใส่หญิงในชุดดำ ทว่าเธอยื่นมือไปสัมผัสกับแขนข้างที่ถือมีด น้ำแข็งปรากฏขึ้นมาและคลุมแขนก่อนจะกลืนทั้งร่าง เหลือเพียงแค่ศีรษะของเขาที่ไม่ถูกปกคลุม ชายร่างท้วมกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว ไอเย็นลอยออกมาจากฝ่ามือของหญิงสาว หญิงปริศนาผู้นี้หันกลับมามองโดมีนิก โดมีนิกรีบก้มหัวเพื่อเป็นการขอบคุณ

“ขอบคุณท่านมาก หากไม่ได้ท่านข้าคงลำบากแน่”
“ไม่เป็นไร” เธอตอบเบาๆ
“จ๊อก” เสียงท้องร้องของโดมีนิกดังขึ้นอีกครั้ง โดมีนิกหัวเราะแก้เขินหลังจากที่ร่างกายของเขาเผลอทำเรื่องน่าอาย

แม้เขาจะไม่เห็นดวงตาของหญิงคนนี้ แต่เขาก็รู้ว่าหญิงในชุดดำกำลังมองหน้าเขาอยู่ เธอหันไปและเดินเข้าไปในร้าน โดมีนิกเดินตาม เมื่อทั้งสองเข้าไปในร้าน เขาก็เห็นบรรยากาศที่ผู้คนในร้านกำลังดื่มด่ำกับอาหารเช้า เสียงพูดคุยของผู้คนกลืนกันหมดจนไม่สามารถแยกออกได้ แม้ทุกอย่างจะดูปกติดี แต่ทุกสายตาจับจ้องพวกเขาหลังจากเหตุการณ์เมื่อชั่วครู่ หญิงผมขาวนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมทำเชื้อเชิญให้โดมีนิกนั่งตรงข้ามกับเธอ บริกรเดินมา หญิงแปลกหน้าชูสองนิ้วให้กับบริกรโดยไม่ได้พูดอะไร บริกรพยักหน้าเมื่อเห็นสัญญาณเพียงแค่สองนิ้ว โดมีนิกวางโดโรธีลงบนพื้น

“เอ่อ ข้าขออนุญาตถามชื่อท่านได้ไหม?” โดมีนิกเอ่ยปากถาม

เธอนั่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ด้วยแววตาที่โดนบดบังทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่

“เฮร่า” เธอตอบสั้นๆ
“ท่านเฮร่า ข้าต้องขอบคุณท่านอีกครั้งขอรับ” โดมีนิกก้มโค้งให้หญิงผมขาวอีกครั้ง หน้าผากของโดมีนิกสัมผัสเข้าแผ่นไม้ที่เย็นยะเยือก
“ไม่เป็นไร” เฮร่าตอบสั้นๆ

บริกรนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะ มันเป็นก้อนขนมปังและซุบ โดมีนิกหยิบก้อนขนมปังและหั่นออกครึ่งหนึ่ง เขายื่นให้กับโดโรธี เจ้าตูบกัดขนมปังและใช้ฟันของมันเคี้ยวอาหารเช้า โดมีนิกนับก้อนขนมปังที่เหลือจุ่มลงซุปพร้อมกับนำเข้าปากตัวเอง รสชาติของมันไม่ได้อร่อยแบบที่โดมีนิกทำ แต่ในวินาทีเขายอมกินอะไรก็ตามที่สามารถดับความหิวได้ เฮร่าหยิบก้อนขนมปังและนำเข้าปาก มันเป็นการรับประทานอาหารที่ดำเนินไปด้วยความเงียบ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร และต่างก้มมองลงอาหารของตัวเอง

“อ๊ะ ท่านเฮร่าข้ามีเรื่องจะสอบถามท่านหน่อย” โดมีนิกนึกอะไรขึ้นมาได้

เฮร่าเงยหน้าขึ้นมา แต่เธอไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา

“ข้ากำลังตามหากลุ่มทหารที่ชื่อบเซริก์ ท่านพอจะทราบอะไรบ้างไหม?” ชายผมขาวถาม
“ข้าพอจะนำทางเจ้าได้อยู่” เฮร่าตอบเบาๆ

เมื่อทั้งสองทานข้าวเสร็จก็ลุกออกจากที่นั่งของพวกเขาและเดินตรงออกจากร้าน โดยโดมินิกจ่ายค่าอาหารในส่วนของตัวเอง ชายผมขาวอุ้มตัวโดโรธีก่อนจะเดินตามเฮร่า เธอเดินท่ามกลางฝูงชนได้โดยที่ไหล่ของเธอไม่กระทบกับผู้คนที่เดินสวนทางเลยแม้แต่น้อย เธอหยุดลงหน้าอาคารแห่งหนึ่ง มันเป็นอาคารสองชั้น มันไม่มีป้ายหรืออะไรที่บ่งบอกเลยว่าสถานที่แห่งนี้คือที่หนใด ผู้คนเดินผ่านอาคารนี้จำนวนมากและดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจอาคารนี้เลย โดมีนิกที่ยืนเคียงข้างเฮร่าหันไปมองเธอ หญิงผมขาวก้าวเท้าและเปิดประตูไม้เพื่อเข้าไปในอาคาร

โดมีนิกเดินตามติดๆหลังจากที่เธอเข้าไป ชายผมขาวเห็นหัวของสัตว์ประหลาดจำนวนมากที่ถูกแขวนไว้บนกำแพง เขาเคยเห็นสัตว์ประหลาดพวกนี้ในหนังสือที่จอมนางอ่าน แต่เขาไม่เคยเห็นพวกมันกับตาตัวเองมาก่อน นอกจาก “ถ้วยรางวัล” ที่ถูกติดอยู่กับกำแพงแล้ว มันมีเครื่องเรือนจากไม้จำนวนหนึ่งวางอยู่ เช่นมีเก้าอี้สี่ตัวที่รายล้อมโต๊ะไม้ทรงกลม สถานที่แห่งนี้คงเป็นที่อยู่อาศัยของใครบางคน ในขณะที่โดมีนิกกำลังสำรวจสถานที่นี้ด้วยสายตา เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากชั้สองของบ้าน

“ใครมันเข้ามาว่ะ” เสียงของชายคนหนึ่งตะโกนลงมาด้วยความเกรี้ยวกราด

ชายร่างกายกำยำปรากฏตัวขึ้นมาและยืนบนระเบียงชั้นสองของบ้าน หลังจากที่เขาตะโกนลงมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย ผมของเขาเป็นสีฟ้าและตั้งตะหง่าน เขาสวมเพียงแค่กางเกงและเปลือยท่อนบน ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องมายังแขกทั้งสอง เขาไม่ได้อะไร แต่หากฟังจากเสียงฝีเท้าของเขา ดูเหมือนชายคนนี้จะหงุดหงิดไม่น้อย เขาก้าวลงมาจากบันไดและมองโดมีนิกและเฮร่า โดมีนิกมองสายตาขอเขาที่กำลังถามว่า “มีอะไร?”

“ทะ ทะ ท่านคือ บเซริก์ ชะ ชะ ใช่หรือไม่”
“คือ เอ่อ ข้า เอ่อ ต้องการจะจะเดินทางไปยังตอนเหนือ คือข้า เอ่อ ต้องการ แบบ คนพาข้าไป” โดมีนิกพูดถึงจุดประสงค์ของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว

ชายผมฟ้าคนนี้มองตั้งแต่ป้ายเท้าจนถึงใบหน้าของโดมีนิก

“ใช่ ข้าคือแกรนท์ อัลบูเมน หัวหน้าบเซริก์” ชายคนนี้แนะนำตัว
“แล้วเจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกระด้างและเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ

“ข้าชื่อโดมีนิก ข้ามาจากเมืองทางตอนใต้ของนครแห่งนี้” โดมีนิกที่เริ่มควบคุมความกลัวได้ ตอบแกรนท์
“ฮึ่ม? แล้วเจ้าจะไปทางตอนเหนือทำไม? ไม่ใช่ว่าที่นั่นหนาวจัดจนไข่ของเจ้าแข็งเลยไม่ใช่หรือ?” ชายผมฟ้าถามด้วยวาจาที่มีหยาบโลน
“ขะ ข้ามีญาติของข้าอยู่ที่นั่น” โดมีนิกคิดคำโกหกขึ้นมา

แกรนท์มองด้วยสายตาที่ไม่เชื่อเท่าไหร่ กระนั้นแล้วเขาก็หันหลังและลงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ เขายกเท้าและพาดเท้าของตัวเองบนโต๊ะไม้ เขาแอ่นหลังบนเก้าอี้ด้วยความสะดวกสบาย

“เอาเถอะ เจ้าจะทำห่าอะไรข้าไม่สนหรอก”
“แต่ตอนนี้ข้ามีปัญหานิดหน่อย” แกรนท์พูดขึ้นมา
“ถ้าหากเรื่องเงิน ข้าสามารถจ่ายท่านไ้ด้” โดมีนิกพูดพร้อมกับหยิบถุงเงินออกมา

“ไม่ๆ ข้าไม่ได้มีปัญหาเรื่องนั้น” แกรนท์กล่าวปฏิเสธ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้ยินมาบ้างรึเปล่า แต่เจ้าพอจะได้ยินเรื่อง ‘อสูร’ ในเมืองนี้ไหม?” ชายผมฟ้าลดเท้าลงจากโต๊ะและถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

คำว่า “อสูร” ทำให้คิ้วของเฮร่าขมวดขึ้นมา เธอแสดงท่าทีสนใจจะฟังเรื่องราวที่จะออกมาจาก “คนเถื่อน”

“ทุกคืนจะมีอสูรคอยฆ่า ประชากรที่นีอยู่ และแน่นอน มันฆ่าสหายของข้าไปบ้างเหมือนกัน”
“ถึงข้าจะไม่ค่อยมีสหายอยู่แล้วก็เถอะนะ” แกรนท์เล่าให้ฟัง
“ซึ่งเจ้าเมืองจ้างข้าให้จัดการไอ้อสูรนรกนี่ และตอนนี้ข้าก็ยังทำไม่ได้”
“และพอดีข้าเป็นคนยึดมั่นในสัญญาเสียด้วย ถ้าหากข้าไม่สามารถปลิดชีพมันได้ ข้าก็คงไปไหนไม่ได้” หัวหน้าบเซริก์เล่าให้ฟัง

“เจ้าพอเล่ารายละเอียดของอสูรตัวนี้ได้ไหม?” เฮร่าพูดเป็นครั้งแรกหลังจากที่เข้ามาในบ้านหลังนี้
“เดี๋ยวนะ...เจ้าใช่ ‘บุตรีเหมันต์’ เฮร่า นักล่าปีศาจหรือเปล่า?” แกรนท์ตอบคำถามด้วยคำถาม

โดมีนิกหันไปมองหญิงผมขาวที่เขาพบได้ไม่นาน ดวงตาของโดมีนิกเต็มไปด้วยความตกใจหลังจากที่เขาได้ยินยศถาของเธอเป็นครั้งแรก

“ดูเหมือนวันนี้อาจจะเป็นวันของข้าก็ได้นะ” แกรนท์ไม่รอให้เฮร่าตอบ เขาก็ยิ้มออกมา
“ตามจริง ข้าก็ไม่เคยเห็นอสูรตัวนี้ด้วยตาตัวเองหรอกนะ” แกรนท์เริ่มเล่า
“รู้เพียงแต่ มันชอบกินเครื่องในของสิ่งมีชีวิต”

โดมีนิกยกมือขึ้นปิดปากของเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสยดสยอง

“คืนนี้ข้าจะร่วมล่ามันด้วย” เฮร่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ยอดเยี่ยมไปเลย” แกรนท์ยิ้มออกมา
“วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายก็ได้ ที่ไอ้อสูรเวรนั่นจะมีชีวิต”
Gudomana
Gudomana
Posts : 52
Join date : 2018-08-20

Shining in The Darkness  Empty Re: Shining in The Darkness

Thu Jan 17, 2019 3:19 pm
Episode 4 : เป้าหมาย

“เก๊ง”

เสียงดาบตกลงกับพื้น ชายผมขาวที่มีหน้าตาทะเล้นชูมือขึ้นฟ้าแสดงให้เห็นถึงการยอมจำนน  เบื้องหน้าของมีแต่เพียงจอมนางในชุดสีทมิฬและหอกสีแดงของเธอเท่านั้น นาริสมองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้าด้วยสายตางุนงง ทั้งคู่ยืนอยู่ในห้องทรงกลม ตรงกลางห้องมีโต๊ะหินที่มีแผนที่วางอยู่ เหนือแผ่นกระดาษมีหมากหลายชิ้นวางทับไว้ แม้มันจะมีหลายชิ้นแต่มันมีเพียงแค่สองสีเท่านั้นคือสีฟ้าและสีแดง หมากสีฟ้าราวๆสามชิ้นวางใกล้กับบริเวณปราสาท ส่วนรอบๆหมากสีฟ้ามีหมากสีแดงมากเป็นเท่าตัว

“เจ้าทำอะไร” นาริสถามด้วยความสับสนและความสงสัย
“ข้ามายอมจำนนต่อเจ้าไง” แพตตันตอบในสิ่งที่นาริสเห็นอยู่แล้ว

นาริสยิ่งสับสนกว่าเดิม แต่กระนั้นยิ่งเธอสับสนเธอก็ยิ่งกำหอกสีแดงของเธอแน่น และเตรียมพร้อมจะใช้หอกของเธอหากจำเป็น

“แต่พวกเจ้ากำลังได้เปรียบนะ เจ้ามายอมแพ้ข้าทำไม?” จอมนางถามต่อ
“ข้าไม่ได้มายอมแพ้ในฐานะของ ‘ผู้กล้า’ แต่ข้ามายอมแพ้ในฐานะ ‘แพตตัน’ ต่างหาก”  แพตตันพูด
“ถ้าให้บอกตรงๆ ข้า เบื่อ และข้าก็อยากจะลองทำอะไรเป็นของตัวเองบ้าง” แพตตันอธิบาย

แม้ชายผมขาวจะอธิบายจุดประสงค์ของเขาแล้ว แต่นาริสยังไม่ลดหอกของเธอลง ปลายหอกของเธอยังคงชี้ไปยังร่างของแพตตันที่ยืนนิ่งตั้งแต่เขาทิ้งดาบลงพื้น

“ข้าไม่เชื่อ ทั้งๆที่เจ้าอุตส่าห์เข้ามาที่นี่ได้ เจ้าจะมาแค่ยอมแพ้งั้นหรือ?” นาริสพูดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต
“คนอื่นจะเข้ามาที่นี่คงยากนะ แต่สำหรับข้าแล้ว มันเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว” แพตตันแสยะยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
“เอางี้ไหม เพื่อให้เจ้าไว้ใจข้า ข้าจะบอกให้ว่าคืนนี้ แฮร์ริงตั้นเตรียมนำทัพบุกจากด้านหลังของปราสาท” แพตตันกล่าว

“ข้างหลัง?” นาริสลดหอกลงพร้อมกับเบิกตาขึ้นด้วยความสนใจ
“แต่มันไม่มีรายงานเลยนะว่า มีกองทัพอยู่ข้างหลังปราสาท” หญิงผมน้ำตาลถามต่อ
“ก็เพราะแฮร์ริงตั้นสังหารหน่วยลาดตะเวนของเจ้าหมดแล้วยังไงล่ะ มันเลยไม่มีข่าวถึงเจ้า” แพตตันพูด
“เอาเถอะ เจ้าจะเชื่อข้าไหมก็แล้วแต่เจ้า แต่สำหรับหญิงงามอย่างเจ้าแล้ว ข้าจริงใจเสมอ” แพตตันส่งยิ้มให้

ทว่านาริสไม่ได้แสดงปฏิกริยาตอบโต้อะไร ใบหน้าของเธอยังคงตึงเครียดและไม่ไว้วางใจ แม้ปลายหอกจะไม่ได้จ่อตัวของแขกผู้มาเยือนแล้ว แต่เธอก็ยังคงเตรียมพร้อมหากต้องต่อสู้

“ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนล่ะ” แพตตันก้มเก็บดาบบนพื้น

สิ้นเสียงของเขา ร่างของเขาก็หายไปราวกับเขาไม่เคยยืนอยู่ตรงนี้มาก่อน

====


หญ้าที่ปกคลุมแผ่นดินอาบแสงแดดที่ส่องลงมาจากผืนนภา มันไม่ใช่แสงแดดอุ่นๆในยามเช้าแต่เป็นแสงแดดยามเที่ยงที่ร้อนระอุและพร้อมจะเผาผลาญทุกอย่าง นาริสเดินเหยียบย่ำบนถนนที่ถูกยาวเคียงข้างต้นหญ้า บนแผ่นหลังของเธอสะพายหอกไม้เล่มยาวและสัมภาระอยู่ด้วย ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอถูกปิดด้วยผ้าสีดำ แม้ร่างของเธอจะอยู่ตรงนี้ แต่เหมือนใจของเธอจะอยู่ที่อื่น ในหัวของเธอคิดถึง “น้องชาย” ของเธออย่าง เธอตั้งคำถามเป็นล้าน “โดมีนิกจะเป็นอะไรไหม?” “จะถูกทำร้ายรึเปล่า?” “จะหาที่พักได้ไหม”  และอื่นๆอีกมาก

“เป็นไรหรอกน่า โดโรธีก็อยู่ด้วย” นาริสพูดกับตัวเองเบาๆและพยายามเรียกสติของเธอกลับมา

ดวงตาของเธอเห็น “อะไรบางอย่าง” ที่ถูกด้วยผ้าคลุมยืนอยู่ข้างหน้าเธอ เนื่องจากผ้าสีน้ำตาลที่ปกปิดใบหน้าและรูปร่างทำให้นาริสไม่สามารถมองออกได้ว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเธอเป็นอะไร มันอาจจะเป็นมนุษย์หรืออาจจะสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นในดินแดนแห่งนี้ ฝีเท้าของนาริสช้าลง มือของเธอข้างนึงจับหอกของเธอไว้ เดินเธอช้าๆและมองสิ่งมีชีวิตปริศนาตลอด เมื่อเธอเดินผ่านมัน มันก็กระซิบออกมาเบาๆ

“แพตตันบอกมาว่าผู้กล้ารออยู่ในเมือง” เสียงของผู้ชายที่อยู่ใต้ผ้าคลุมพูดขึ้นมา

แม้เสียงจะเบา แต่ด้วยระยะห่างของนาริสที่น้อย ทำให้นาริสสามารถจับข้อความได้จนหมด ประโยคนี้สะกดนาริสไว้กับที่

“เจ้าหมายความว่าอะไร?” นาริสถาม
“เฟรอยด์ส นำทัพของเธอไปรอไว้ในเมืองเบื้องหน้าเจ้า” เสียงหนุ่มปริศนาพูดต่อ
“งั้นหรือ...ขอบใจมาก” นาริสตอบ

ชายใต้ผ้าคลุมพยักหน้าและเดินจากหายไป นาริสหยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าของเธอและกางออก


“ดูเหมือนข้าคงต้องไปอีกทางซินะ” นาริสพูดกับตัวเอง

เธอม้วนเก็บแผนที่ของเธอไว้ในสัมภาระ และออกเดินอีกครั้ง หลายครั้งเธอก็นึกสงสัยว่าวันนั้นแพตตันยอมแพ้ทำไม บางทีเขาอาจจะแค่เห็นสตรีเหนือสิ่งอื่นใด กระนั้นการที่แพตตันประกาศยอมแพ้ก็ทำให้เธอได้ทราบข้อมูลจำนวนมากจากฝั่งผู้กล้าเหมือนกัน แม้ท้ายที่สุดเธอจะไม่สามารถยื้อไว้ได้ก็ตาม แต่หากไม่มีแพตตัน สงครามของเธอคงจบไปนานแล้ว

เธอเดินเลี้ยวออกอีกทางเมื่อถึงทางแยก มันเป็นเส้นทางที่เธอไม่คิดว่าเธอจะได้เดิน แม้มันจะเป็นเส้นทางใหม่แต่ทิวทัศน์ของมันนั้นก็เหมือน คือต้นหญ้าสีเขียวที่ถูกปูยาวและต้นไม้ที่ปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ เธอพบผู้คนที่สัญจรบนถนนของเธอเป็นระยะๆ อย่างไรก็ตามคนพวกนั้นไม่ได้สนใจเธอและยังคงใช้ชีวิตตามปกติ

“เดี๋ยว นั่นมัน?” นาริสอุทานออกมาด้วยความตกใจ

เธอเห็นธงที่โบกสะบัดไปกับสายลมที่ถูกปักอยู่ไกลกับจุดที่เธอยืนอยู่ เพียงแค่ชั่วพริบตาเธอก็รู้ทันทีว่าธงที่เธอเห็นเป็นของใคร มันเป็นรูปดาบสีทองที่ชี้ขึ้นฟ้า มันถูกปักไว้บนผ้าสีดำ มันเป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นแสงสว่างในความมืดมิด

“ผู้กล้ามาทำอะไรที่นี่?” นาริสอุทานเบาๆ

ทว่าด้วยระยะห่างที่ไกลทำให้ยังไม่มีใครสังเกตเธอ เหงื่อเริ่มไหลออกมาจากผิวหนังของเธอ มันอาจจะมาจากอากาศที่แผดเผาร่างของเธอหรืออาจจะมาจากความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้น เธอรวบรวมสติและคิดว่าเธอควรจะทำอะไรต่อไป สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวทำให้นาริสหมุนตัวและเตรียมกลับในทางที่จากมา ทว่าก่อนที่เธอจะได้ก้าวเท้า เธอก็ถูกมือปริศนาจับที่หัวไหล่ของเธอ นาริสสะดุ้ง เธอหันกลับไปด้านหลังของเธอช้าๆ เจ้าของมือเป็นหญิงผมสีทรายที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ นัยน์ตาสีแดงของนาริสสะท้อนใบหน้าของหญิงผมสีทรายคนนี้ เธอสวมชุดสีเข้มและกระโปรงสีเดียว เธอแนบดาวไว้ที่เอวของเธอ

“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?” หญิงผมบลอนด์เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“ขะ ข้าไม่เป็นไร” นาริสตอบพร้อมกับหลบหน้าของคู่สนทนา
“หรอ? แต่สีหน้าของเจ้าดูซีดๆนะ แถมเหงื่อออกอีกต่างหาก เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ?” เฟรอยด์ถามต่อ

“ข้ามองเจ้าจากใต้ต้นไม้ได้ซักพักแล้ว เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ?”
“เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก ถ้าเจ้าไม่สบาย เจ้าก็เข้ามาพักได้ก่อน มันเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว” เฟรอยด์พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ขอบใจท่านมาก แต่ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” นาริสยิ้มกลับไป แม้หน้ากากของเธอจะบดบังใบหน้า แต่ดวงตาของเธอก็ส่งรอยยิ้มให้เฟรอยด์

นาริสก้าวเท้าไปข้างหน้า ทว่าไม่ทันที่นาริสจะได้ก้าวไปไหน เฟรอยด์ก็ยื่นมือมาคว้าข้อมือของนาริส นาริสหันกลับไปมองเฟรอยด์ที่คว้าแขนของเธอ นาริสหันกลับไปมองเฟรอยด์ ทว่าดวงตาของเฟรอยด์ในตอนนี้ไม่ใช่ดวงตาที่เป็นมิตรเหมือนก่อนหน้านี้ หญิงผมสีทรายหลี่ตาลงและมองหน้าของนาริส

“ข้าเคยเจอเจ้ามาก่อนรึเปล่า?” เฟรอยด์ถาม
“ข้าเป็นคนที่หน้าละม้ายคล้ายหลายคน คงไม่แปลกหรอกที่ท่านจะรู้สึกเช่นนั้น” นาริสพูดติดตลก
“นั่นซินะ อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้” เฟรอยด์ปล่อยมือออก พร้อมกับยิ้มให้
“ถ้างั้นข้าขอตัว” นาริสกล่าวลา

หญิงผมน้ำตาลเดินออกจากห่างจากค่ายทหารของผู้กล้า ทั้งสองต่างหันไปทิศตัวเองและกลับไปในทำสิ่งที่ค้างคาไว้ ทว่านาริสเห็นอะไรบางอย่างกำลังตรงมาในจุดที่เธอยืนอยู่ มันตรงมาด้วยความเร็ว ในมือของมันถือดาบสองเล่ม เขาเป็นชายร่างสูง และมีผมสีดำสั้น แววตาของเขาคมดุจดั่งนักล่า เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว เมื่อชายคนนี้เข้าใกล้กับนาริส มันก็ยกดาบทั้งสองเล่มเหนือศีรษะของนาริส และตะโกนออกมาสุดเสียงของเขา

“ตายยย!!”
“เก๊ง” นาริสรีบยกหอกของเธอมากัน

แรงกระแทกดันนาริสออกไป เท้าของนาริสเสียดสีกับพื้นดิน นาริสมองชายคนดังกล่าว “ชายคนนี้โจมตีเธอทำไม?” นั่นเป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมา การโจมตีเมื่อครู่นี้มันเป็นการโจมตีไม่ธรรมดา ทั้งน้ำหนักและความรวดเร็วใช่ว่าทุกคนสามารถทำแบบเขาได้ และที่สำคัญก่อนหน้านี้เธอไม่รู้สึกถึงตัวตนของชายปริศนาคนนี้มาก่อนเลย ในขณะที่นาริสกำลังวิเคราะห์คู่ต่อสู้ของเธอ เฟรอยด์ก็วิ่งมาเคียงข้างเธอ ในมือของเธอกุมด้ามดาบและเตรียมดึงมันออกมา

“เจ้าทำอะไร!!” เฟรอยด์ตะโกนใส่ชายปริศนาที่โจมตีนาริส

ชายที่ถูกถามยืนเงียบ มือทั้งสองข้างยังคงจับดาบไว้แน่น เฟรอยด์ดึงดาบของเธอออกมาและตั้งท่าเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรู เฟรอยด์หันกลับมาหานาริสพร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าไม่เป็นไรนะ?” เฟรอยด์ถาม
“ไม่เป็นไร” นาริสหันมาตอบ

ดวงตาของเฟรอยด์เบิกโตขึ้นมาด้วยความตกใจ นาริสก้มมองลงบนพื้นก่อนที่เธอจะเห็นผ้าสีดำที่ใช้ปิดหน้าของเธอหล่นอยู่บนพื้น นาริสใช้มือของตัวเองจับใบหน้าของเธอ สิ่งที่เธอสัมผัสได้ไม่ใช้เนื้อผ้าแต่เป็นผิวหนังของหน้าเธอ นาริสรีบกระโจนถอยออกมา มือของเธอยังกำหอกแน่น ดวงตาของเธอกรอกไปกรอกมาระหว่างชายปริศนาและเฟรอยด์ที่ต่างคนก็ต่างถืออาวุธของตัวเอง

“ข้าพบจอมนางแล้ว!!” เฟรอยด์ตะโกนสุดเสียงของเธอ

เสียงของเฟรอยด์ก้องไปกับสายลม เหล่าทหารที่กำลังพักผ่อนเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหัวหน้าของพวกเขาก็ต่างจับอาวุธและลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เสียงฝีเท้าของทหารที่วิ่งบนพื้นดินสร้างแรงสั่นสะเทือนบนพื้นดิน นาริสหันกลับมาเจอเฟรอยด์ยกดาบของตัวเองและเตรียมฟันเข้าใส่ร่างของนาริส หญิงผมน้ำตาลรีบใช้หอกของตัวเองปัดการโจมตี เฟรอยด์เสียหลัก ทว่าก่อนที่จอมนางจะเริ่มการโจมตีระลอกสอง เธอก็สัมผัสได้ว่ามีชายอีกคนอยู่เบื้องหลังเธอ นาริสแกว่งหอกของตัวเอง 360 องศา ทว่าชายผมดำกระโดดเหยียบหอกของเธอไว้ นักฆ่าใช้เท้าที่ยาวเตะเข้าใส่กลางหน้าของนาริส หญิงผมน้ำตาลที่ถูกเตะเข้าใส่ไปปลายคาง

“อั๊ก” นาริสร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

ร่างของเธอล้มลงไปนอนกับพื้นดิน ภาพของเธอเลือนราง แต่เธอเห็นร่างของเฟรอยด์ที่ง้างดาบของเธอเตรียมปักใส่ร่างของนาริส ก่อนที่เฟรอยด์จะได้ลงดาบ ชายผมดำก็ตรงมาและเตรียมใช้ดาบฟันเข้าใส่เฟรอยด์ แต่เฟรอยด์รู้ตัวทัน เธอยกดาบมาป้องกันการโจมตีไว้

“เจ้าทำอะไร?” เฟรอยด์ตะโกนถามด้วยความสับสน
“คนที่สังหารจอมนาง ต้องเป็นข้าเท่านั้น” ชายผมสีทมิฬตอบ

นาริสอาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้นมาจากพื้น ปากของหญิงผมน้ำตาลขยับ เปลวเพลิงลอยอยู่เหนือมืออีกข้างที่ไม่ได้จับหอกไว้ เธอเขวี้ยงแขนของเธอไปข้างหน้า เปลวไฟลอยไปหาชายหญิงสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ เมื่อทั้งคู่เห็นเปลวเพลิงพุ่งมา ทั้งสองก็ต่างกระโดดถอยหลังเพื่อหลบลูกไฟ เปลวเพลิงเผาไหม้ทหารที่วิ่งนำเข้ามา เปลวเพลิงกลืนชุดเกราะและทหารคนนี้อย่างรวดเร็ว ทหารเริ่มตีวงล้อมนาริส เมื่อเธอรู้ตัว เธอก็ถูกล้อมด้วยทหารนับร้อย ภาพในอดีตปรากฏขึ้นมา ภาพที่เธอยืนเหนื่อยล้าท้ามกล้ามศัตรูนับแสนที่ต่างจ้องจะเอาชีวิตเธอ เธอรู้สึกทั้งกลัวและกังวล เธอยังคงจำได้ว่าสมรภูมิสุดท้ายของเธอเป็นเช่นไร

“เปรี๊ยะๆ” เสียงกระแสไฟฟ้าสถิตดังขึ้น

มันมาจากฝ่ามือของเฟรอยด์ เธอจ้องมายังนาริสก่อนที่เธอจะยิงกระแสไฟฟ้าออกมาจากมือ กระแสไฟฟ้าช็อตร่างของจอมนาง หญิงผมน้ำตาลร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทหารที่ล้อมเธอวิ่งตรงมา และเตรียมง้างดาบเพื่อฟันร่างของเป้าหมาย ทว่าชายผมดำกระโจนเข้ามาอีกครั้งและใช้ดาบตัดศีรษะของทหารวิ่งตรงมา คอลอยออกและตกลงบนพื้นดิน เลือดกระเซ็นติดหน้าของชายที่มีความเย็นยะเยือก ทหารที่อยู่แถวนั้นวิ่งตรงไป ทว่าทหารคนนี้ก็หยุด เขามองไปรอบๆ เขาหาศัตรูของเขาไม่เจอ เมื่อเขารู้ตัว ชายผมดำก็ใช้ดาบแทงจะข้างหลังของเขา

“ฆ่ามัน มันเป็นพวกของจอมนาง!!” ทหารคนหนึ่งตะโกน
“เดี๋ยวซิ!! อย่าละสายตาจากจอมนางซิ!!” เฟรอยด์ตะโกนปราม

ทว่าทหารทุกคนต่างตรงไปรุมชายปริศนาคนนี้ นาริสรีบใช้อาศัยจังหวะชุลมุน หนีหายไป ไม่นานนักพวกเขาก็สามารถหยุดชายคนนี้ได้ ชายปริศนาทรุดลงไปกับพื้น ร่างของเขาเต็มไปด้วยแผลมากมาย แต่ไม่ว่าแผลจะมากขนาดไหนก็ไม่สามารถปลิดชีพคนนี้ได้ รอบจุดที่เขาทรุดลงไปเต็มไปด้วยซากศพของทหาร เฟรอยด์ก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับใช้ดาบของเธอจ่อไปยังบริเวณคอหอยของชายคนนี้

“บอกมาเจ้าเป็นใคร?” เฟรอยด์พูดจาข่มขู่

หนุ่มผมดำแหงนหน้าขึ้นมามอง ก่อนที่เขาจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ข้าชื่อฟานดรัล” ชายคนนี้แนะนำตัว
“แล้วเจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นพวกเดียวกับจอมนางหรือ?” หญิงคนเดิมถามต่อ
“ข้าก็เป็นแค่นักฆ่าธรรมดาที่ต้องการจะฆ่าจอมนางนั่นแหละ” ฟานดรัลพูดด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย

“เช่นนั้น เจ้าจะขวางข้าทำไม?” หญิงผมสีทรายถาม
“...คนที่จะปลิดชีพจอมนางได้ มีเพียงแค่ข้าเท่านั้นแหละ” ฟานดรัลพูด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง

เฟรอยด์มองเข้าไปในนัยน์ตาของชายหนุ่มคนนี้ เธอเก็บดาบของเธอ พร้อมกับหันไปหาทหารที่ยืนข้างหลังเธอ

“เจ้าส่งข้อความไปหาท่านแฮร์ริงตั้นหน่อย ว่าเราเจอจอมนางแล้ว”
“ท่านเฟรอยด์ครับ เราจะทำเช่นไรกับชายคนนี้ดี?” ชายอีกคนถาม
“...ปฐมพยาบาลเขา

“ท่านเฟรอยด์ แต่หมอนี่สังหารสหายของเรามากนะขอรับ” ชายคนเดิมแย้ง
“ก็จริง แต่หมอนี่แข็งแกร่งมาก การที่เขามาช่วยพวกเราอาจจะทำให้เป้าหมายของเราง่ายขึ้น” เฟรอยด์เสนอเหตุผลของตัวเอง
“อีกอย่าง เราก็มีจุดหมายเดียวกันนี่” หญิงผมสีทรายพูดต่อ

ทหารที่ถามเธอแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่เขาก็พยักหน้ารับคำสั่งของเธอ

“เจ้าไม่มีปัญหาใช่ไหม?” เฟรอยด์หันมาถามฟานดรัล
“ข้าไม่มีหรอก ตราบใดที่หัวของจอมนางเป็นของข้า” ฟานดรัลพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

====

ท้องฟ้ามืดมิด ดวงจันทร์เต็มดวงส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า แฮร์ริงตั้นวางมือทั้งสองข้างของเขาอยู่บนกำแพงหิน เส้นผมสีแดงของเขาเต้นระบำไปกับสายลมที่นำจังหวะของพวกมัน ในขณะที่เขามองไปข้างหน้า เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างหลัง แฮร์ริงตั้นหันไปและเห็นแพตตันที่เดินขึ้นมาบนกำแพงเมือง ชายผมขาวเดินมายืนเคียงข้าง ดวงตาทั้งสองคู่มองไปข้างหน้า พวกเขามองดวงจันทร์เต็มดวงที่นานครั้งจะปรากฏตัว

“เจ้าเรียกข้ามาทำไมหรือ?” แพตตันถาม
“ข้าคิดถึงสิ่งที่เจ้าคุยกับเจ้าเมื่อเช้าน่ะ” แฮร์ริงตั้นพูด
“เจ้ากำลังหมายถึง ‘เส้นผม’ ของเจ้าหรือ?” แพตตันถาม

“อ่า ข้ารู้สึกได้ว่าเส้นผมของข้ามีผมหงอกมากขึ้น และข้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้มีพละกำลังมากเหมือนแต่ก่อน” แฮร์ริงตั้นพูด
“ข้าคิดว่า ข้าควรจะทำอะไรกับมันได้แล้ว” ชายผมแดงพูดพลางมองหน้าของคู่สนทนาตัวเอง
“อืม เจ้าจะตายไม่ได้นะ เจ้าน่ะเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของประชาชน” ชายผมขาวพูด
“ข้าจะช่วยเต็มที่เพื่อให้เจ้ารอด” แพตตันกล่าว

แฮร์ริงตั้นเงียบ เขาหันกลับไปมองดวงจันทร์ข้างหน้าเขา

"จะว่าไปเจ้ารู้ไหมว่า เราพบจอมนางแล้ว จอมนางยังไม่ตาย" แฮร์ริงตั้นกล่าว
"ว่าไงนะ?!" แพตตันอุทานออกมาด้วยความตกใจ
"แล้วเจ้ารู้ไหมว่าข้าพบนางที่ไหน?" ชายผมแดงถามต่อ


แพตตันไม่ตอบแต่เขาก็ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาสนใจ

“ข้าพบนางที่ใกล้ๆกับเมือง ดูเหมือนนางจะหลบหลีกเมืองเพราะอะไรบางอย่าง” แฮร์ริงตั้นเล่า
“รู้ไหม...นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้บอกเลยนะว่านางจะเดินทางเข้าเมือง” ชายผมแดงถาม
“มันคงเป็นเรื่องบังเอิญนั่นแหละ ถ้าข้าเป็นจอมนาง ข้าคงเลี่ยงเข้าเมืองเหมือนกันแหละ”
“เพราะโอกาสที่จะถูกเจอคงเยอะมาก เจ้าว่างั้นไหม?” แพตตันไหลไปกับกระแสบทสนทนา
“นั่นซินะ เจ้าก็พูดมีเหตุผล” แฮร์ริงตั้นตอบ

“แพตตัน...ข้าขอถามอะไรเจ้าได้ไหม?”
“อะไรหรือ?” แพตตันถาม
“รัตติกาล คือใคร”

ประโยคนี้ทำให้ดวงตาของแพตตันเบิกโพลนขึ้นมา มือของเขารีบจับดาบที่เหน็บข้างกาย ทว่าก่อนที่แพตตันจะสามารถดึงดาบออกมาได้ ร่างของเขาก็ถูกแทงทะลุด้วยดาบของแฮร์ริงตั้น เลือดนั้นไหลหยดลงพื้น แฮร์ริงตั้นดึงดาบออกจากร่าง ชายผมขาวเซออกไป มือข้างหนึ่งของเขาจับแผลของตัวเอง แพตตันมองเข้าไปในดวงตาของแฮร์ริงตั้น สิ่งที่เขาเห็นความ “เสียใจ” หัวใจของชายหนุ่มคนนี้กำลังร่ำไห้ มันกำลังกล่าวโทษโชคชะตาที่พาเข้ามาในจุดนี้

“แพตตัน...สำหรับข้าแล้วเจ้าคือสหายของข้า” แฮร์ริงตั้นพูด เขาก้มลงเพื่อหลบสายตาของคู่สนทนา
“ข้าเคยสงสัยมาหลายครั้งว่าเรามีคนทรยศในกลุ่มเราไหม ตั้งแต่ครั้งที่จอมนางสามารถอ่านแผนข้าได้”
“จนถึงปัจจุบัน ข้าพยายามหลอกตัวเองหลายครั้งว่า นางแค่โชคดี”
“แต่ว่า ข้าคงไม่สามารถปล่อยให้ คนทรยศลอยนวยได้หรอก” ชายผมแดงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาของเขา

แพตตันดึงดาบของตัวเองออกมา เขาวิ่งตรงไปหาแฮร์ริงตั้นอีกครั้ง ชายผมขาวคำรามออกมา มันเสียงคำรามเพื่อความอยู่รอด

“ฉึก”

ดาบเล่มเดิมแทงแพตตันเป็นครั้งสอง ครั้งนี้แพตตันหยุดนิ่งและไม่ขยับ แฮร์ริงตั้นกระซิบข้างหูของแพตตันเป็นครั้งสุดท้าย

“ลาก่อน”
Sponsored content

Shining in The Darkness  Empty Re: Shining in The Darkness

Back to top
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum