DWO City
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Go down
CosmicTerror
CosmicTerror
Admin
Posts : 53
Join date : 2018-08-20
Age : 25
https://dwocity.forumotion.com

24 Over Empty 24 Over

Mon Feb 25, 2019 8:43 pm
Prologue

อา.. นี่ก็เป็นอีกวันที่สงบสุขสินะ

ท้องฟ้าสีครามสดใส มีก้อนเมฆล่องลอยอยู่เรียงรายพอบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ เสียงนกที่ขับร้องอย่างไพเราะเสนาะหู เสียงพูดคุยของนักเรียนท่ามกลางโรงอาหาร เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของนักเรียนจากสนามกีฬา ทุกๆอย่างดำเนินไปตามปกติ

อา.. ช่างสงบสุขจริงๆ

วันๆที่สงบสุข ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนเช่นเดิม ไม่มีสงครามกลางเมือง ไม่มีการเดินขบวนประท้วง ไม่มีใครออกมาใส่ร้ายป้ายสีใส่กันและกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง

อา.. ความสงบสุขช่างสุขีโดยแท้

แต่ทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่มีข้อผิดพลาด ล้วนแล้วแต่มีข้อเสีย ไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้สมบูรณ์แบบ เฉกเช่นเดียวกับความสงบสุข ณ ตอนนี้เช่นเดียวกัน

มันเป็นแค่ความสงบสุขที่เกิดขึ้นจากปากกระบอกปืน มันไม่ใช่ความสงบสุขอย่างแท้จริง

เราทุกคนต่างต้องใช้ชีวิตและอาศัยอยู่ภายในประเทศที่อยู่ภายใต้การควบคุมและการปกครองของพลทหารชั้นสูง อำนาจอยู่แต่ในศูนย์กลาง เผด็จการทหารแบบเบ็ดเสร็จ ใครก็ตามที่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปก็จะต้องเผชิญกับการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ทำทุกวิถีทางเพื่อปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นที่ว่าร้ายต่อเบื้องบน

ความสงบสุขจอมปลอมแบบนี้.. ผมไม่ชอบเลย แต่เราก็ไม่อาจทำอะไรกับมันได้.. อย่างน้อยก็ด้วยตัวของเราคนเดียว

บางทีผมก็แอบคิดว่า.. ผมก็อยากให้มีใครมาอัญเชิญผมไปเป็นวีรบุรุษหรือฮีโร่กอบกู้สถานการณ์ที่ต่างโลกบ้างแบบนิยายที่กำลังเป็นกระแสในโลกออนไลน์ขณะนี้

ผมพอเข้าใจอยู่นะว่าเพราะเหตุใดนิยายแนวจำพวกต่างโลกถึงค่อนข้างได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ เหตุผลหลักๆเลยคือการที่เราสามารถแทนตัวตนของเราลงไปนิยายจำพวกนั้นได้อย่างไม่ติดขัดหรือเขินอายใดๆ เพราะตัวละครเอกส่วนใหญ่แล้วจะมีป้ายแปะไว้เลยว่าตัวละครเอกนี้ “ธรรมดา” แล้วการที่คนธรรมดาๆได้เข้าไปอยู่ในโลกที่ใครต่อใครอาจจะวาดฝันไว้ โลกที่เสมือน “เกม” โลกที่มีความ “แฟนตาซี” โลกที่มี “เวทมนตร์” ที่เราเคยเห็นมานักต่อนักไม่ว่าจะเป็นเกม นิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูน และสื่อบันเทิงต่างๆมากมาย ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถสนองตัณหาของใครหลายๆคนได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมพอจะนึกออก.. ซึ่งเกี่ยวข้องกันกับเหตุผลประการข้างต้นโดยตรง แต่เหตุผลประการนี้ผมก็รู้สึกว่าอาจจะดูมีอคติไปเสียหน่อย แต่ผมก็คิดว่าน่าจะมีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่คิดเหมือนกันกับผม นั่นคือการรู้สึกว่าตนเองมี “พลัง” มีพลังที่จะสามารถทำให้ตนเองแข็งแกร่งและมีความสามารถ มีพลัง..ที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ โดยส่วนใหญ่ของนิยายต่างโลก ตัวละครเอกจะต้องได้รับพลังที่ทรงพลังเกินกว่าบุคคลผู้อื่น เราเองก็จะรู้สึกว่าเราอยากได้รับพลังเช่นนั้น พลังเช่นนั้นจะทำให้เราได้รับการยอมรับ.. และมีพลังเพียงพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้.. แตกต่างจากการเป็นคนธรรมดาในโลกเดิมๆ ประชาชนตาดำๆที่ไม่อาจต่อกรกับสิ่งใดได้เลย

ตึ่ง~ ตึง~ ตึ้ง~ ตึ่ง~

ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิดเรื่องราวสรรพเพเหระนี้อยู่ในหัวของผมคนเดียว เสียงออดก็ดังขึ้นจากนอกห้องเรียนของผม ซึ่งเป็นสัญญาณของการหมดเวลา ขณะนี้เวลาบ่ายโมงตรง หมายความว่าเสียงออดนี้ให้สัญญาณของการหมดช่วงเวลาพักกลางวัน กลายเป็นเวลาของการเรียนภาคบ่ายแทน เพื่อนๆห้องเดียวกันกับผมบางคนที่อยู่ด้านนอกของห้องก็ค่อยๆทยอยกลับเข้ามาในห้องเรียน แต่ก็ยังไม่ได้กลับไปนั่งประจำโต๊ะของตนเองเพราะว่าคุณครูที่ต้องสอนคาบต่อไปยังมาไม่ถึง พวกเขาจึงยืนจับกลุ่มคุยกันที่โต๊ะของคนๆหนึ่งจนกว่าคุณครูจะมาสอนในคาบต่อไป

“เอ้า นั่งที่ให้เรียบร้อย”

หลังจากเวลาผ่านไป 2 นาที คุณครูที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการสอนคาบต่อไปของห้องผมก็เดินมาประจำโต๊ะครูที่ด้านหน้าของห้อง คุณครูที่เดินเข้ามาเป็นผู้ชายอายุประมาณ 40 ปี มีผมหยิกยาวถึงลำคอสีดำตามแบบฉบับคนเอเชีย แต่ก็พอเห็นถึงเส้นผมหงอกสีขาวโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย แต่ใบหน้าดูคมคายและจมูกโด่งเป็นสัน มือซ้ายกำลังวางแฟ้มสีดำไว้บนโต๊ะ แต่งกายด้วยเสื้อยืดคอกลมสีขาวแต่คลุมด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาที่พับแขน กางเกงสแล็กสีครีมและรองเท้าหนังสีน้ำตาล

คุณครูคนนี้มีชื่อว่าครูเดชอรุณ หรือชื่อเล่นว่าครูเดช เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ แต่ส่วนมากแล้วเขามักจะสอนประวัติศาสตร์ไทยเสียมากกว่า

“นักเรียน ทำความเคารพ” เสียงของผู้หญิงที่ประจำอยู่บริเวณตรงกลางของห้องดังขึ้น
“สวัสดีครับ” ทุกคนในห้องพูดขึ้นพร้อมกัน

เสียงของผู้หญิงที่เป็นคนกล่าวให้สัญญาณแสดงความเคารพต่อคุณครูนั้นเป็นเสียงของหัวหน้าห้องนั่นเอง ซึ่งเธอเป็นผู้หญิงที่มีผมยาวสลวยจนเกือบถึงบริเวณสะโพก ย้อมด้วยสีม่วงและผูกเป็นหางม้าทรงสูง เธอชื่อว่ารินลดา เพียรวงศ์ หรือชื่อเล่นชื่อริน เป็นหัวหน้าห้องของห้อง ม.5/4 นี้เอง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เธอได้รับมาจากการเสนอชื่อตั้งแต่วันแรกของการเปิดภาคเรียน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรนักเพราะเมื่อปีที่แล้ว รินเองก็ทำหน้าที่หัวหน้าห้องเช่นกัน จึงไม่แปลกที่เพื่อนในห้องจะเสนอชื่อให้เธอเป็นหัวหน้าห้องอีกครั้งในปีนี้

นั่นสินะ พอมานึกดูแล้ว ข้อดีหรือจุดเด่นอีกประการหนึ่งของโรงเรียนสยามธิบดีก็คงจะเป็นอิสระในการให้นักเรียนสามารถไว้ผมสีใดก็ได้ และสามารถแต่งหน้า ทำผม หรือติดเครื่องประดับอื่นๆได้โดยอิสระเช่นกัน ขอเพียงแค่ใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนให้ถูกต้องตามกฎระเบียบเท่านั้นก็เป็นที่พึงพอใจต่อโรงเรียนแล้ว

รินเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย และจิตใจดี คงเหมาะสมแล้วล่ะที่จะทำหน้าที่หัวหน้าห้อง แถมตัวรินเองก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงเล็กน้อยจากบุคลิกและลักษณะภายนอกของเธอที่เด่นที่สุด หรือก็คือใบหน้าที่จิ้มลิ้ม พร้อมนัยน์ตาสีครามสดใสที่จับจ้อง ใครที่สบตากับเธอต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของเธอ

จนถึงตอนนี้ผมก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัวอีกครั้ง คำว่าสีครามสุดอยู่ที่ตรงไหน นอกจากสีครามแล้วสีโทนที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสีครามคือสีฟ้าและสีน้ำเงิน บางครั้ง จริงๆผมคิดว่าน่าจะไม่ใช่แค่บางครั้ง บ่อยครั้งเลยที่เราไม่สามารถแยกสีครามกับสีน้ำเงินออกจากกันได้ เรารู้กันว่าสีครามอ่อนกว่าสีน้ำเงินอยู่แล้ว แต่ตัวสีมันต้องเข้มถึงขั้นใดถึงจะสามารถพูดได้ว่าสีที่เห็นนี้คือสีน้ำเงิน และตัวสีจะต้องไม่อ่อนกว่าเท่าใด เพราะถ้าเกิดสีครามอ่อนเกินไป มันก็จะกลายเป็นสีฟ้าอีก

ภาษาเนี่ย.. น่าอัศจรรย์ดีนะ

เมื่อพวกเรากล่าวทำความเคารพเสร็จ ครูเดชก็รับไหว้ หลังจากนั้นก็วางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะ ใช้มือทั้งสองเปิดไปหน้าที่ต้องการก่อนจะเริ่มทำการเช็คชื่อนักเรียนในห้อง

“จิรวัฒน์” ครูเดชเรียก
“มาครับ” ผมขานตอบ

ผมเองก็ลืมไปเลย ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ

สวัสดีครับ ผมชื่อจิรวัฒน์ ภูมิลักขณา ชื่อเล่น ภูมิ เป็นนักเรียนชั้น ม.5/4 โรงเรียนสยามธิบดี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ บริเวณสุขุมวิท โรงเรียนสยามธิบดีเป็นโรงเรียนสำหรับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่นานนี้หากเทียบกับโรงเรียนอื่นๆ ถ้าจะให้ระบุ โรงเรียนนี้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันปี พ.ศ. 2562 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 11 ปี

สาเหตุที่ผมตัดสินใจเลือกที่จะเรียนโรงเรียนที่ก่อตั้งค่อนข้างใหม่เช่นนี้ก็เพราะเหตุผลข้อเดียวครับ มันใกล้บ้านผมที่สุดแล้ว เดินทางไปเรียนได้สะดวกดี ผมสามารถเดินออกมาจากซอยบ้านผม เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึงสถานที่แล้ว ผมไม่อยากไปฝ่าฟันการขนส่งสถาธารณะที่แสนจะไม่สะดวกสบายหรอกนะ

แต่ก็ต้องชื่นชมโรงเรียนของผมอยู่นะ โรงเรียนสยามธิบดีหรือ ส.ธ.ด. ถึงแม้จะก่อตั้งมาได้แค่ 11 ปี แต่ผลคะแนนสอบโอเน็ต หรือแก็ท แพ็ทอะไรทำนองนี้อยู่ในอันดับที่ค่อนข้างสูงอยู่เมื่อเทียบกับโรงเรียนทั่วทั้งประเทศ

แต่จริงๆแล้วการที่นักเรียนสามารถทำคะแนนได้สูงเช่นนี้ เกิดขึ้นได้เพราะนักเรียนเก่งหรือว่าคุณครูที่สอนเก่งกันแน่ ถ้าลองคิดดูว่าหากนักเรียนจำนวนมากมีความเก่งอยู่ภายในตัวอยู่ก่อนแล้ว คุณครูก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะว่านักเรียนมันเก่งตั้งแต่แรก หรือถ้าจะกล่าวว่านักเรียนไม่เก่งมาก่อนเลย แต่คุณครูทำให้นักเรียนเก่งได้ โอเค ตรงส่วนนั้นต้องชื่นชมคุณครู แต่ก็ควรจะให้ผลงานกับนักเรียนบ้างไม่ใช่หรือ เพราะท้ายที่สุด นักเรียนก็เป็นผู้ผลิตคะแนนสอบที่เก่งออกมา

อย่าใส่ใจผมมากเลย ทุกวันนี้ผมโดนใครหลายคนหาว่าเป็นพวกขวางโลก แต่ส่วนมากก็จะมาจากผู้ใหญ่นี่แหละ หาว่าผมโดนล้างสมองบ้าง เพื่อนผมเองบางคนก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมคิดหรือพูดออกมา ผมก็แค่อยากลองคิดมุมกลับปรับมุมมองดูเท่านั้นเอง ถึงแม้คราวนี้ผมก็ยอมรับว่า ผมเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมคิดเหมือนกัน

“จิรวัฒน์”
“ครับผม”

ซวยแล้ว เมื่อสักครู่นี้ก็แทบไม่ได้ฟังสิ่งที่ครูเดชพูดมาเลยเพราะมัวแต่คิดเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่รู้แล้วอยู่ดีๆครูเดชก็เรียกชื่อผมออกมา แต่ผมก็ต้องตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ จะให้เขาเห็นถึงความอ่อนไหวและความตื่นตระหนกในตัวผมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผมก็จะซวยจริงๆ

“เรามาทบทวนบทเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกันซักหน่อย.. ว่ายังจำได้อยู่รึเปล่า กรุงศรีอยุธยาเสียงกรุงครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. ใด” ครูเดชถาม
“ถ้าหากว่าเป็นการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ก็จะเป็นช่วงปี พ.ศ. 2111 ถึงปี 2112 ครับ แต่สำหรับการเสียกรุงครั้งที่ 2..”

ผมใช้ทักษะที่ชื่อว่า “ยืดเวลา” โดยการตอบคำตอบที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำถามออกไปก่อน เพื่อเป็นการยืดเวลาให้มันสมองของผมได้นึกถึงคำตอบที่แท้จริงออกมา คำตอบที่แท้จริงที่ผมไม่สามารถคิดออกได้อย่างฉับพลันแล้วตอบได้เลยเหมือนกับเวลามีใครมาถามชื่อแม่ผม อะไรทำนองนั้น

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากเพื่อเอ่ยคำตอบที่ผมเพิ่งจะคิดได้จากการใช้ทักษะยืดเวลา สายตาของผมดันไปเหลือบเห็นอะไรบางอย่างเข้า บางอย่าง..กำลังค่อยๆปรากฏขึ้นบนพื้นของห้องเรียน ผมกระพริบตาสองสามทีเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้ตาฝาด แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับน่าตะลึงยิ่งนัก วงกลมสีชมพูเรืองแสงปรากฏขึ้นภายใต้พื้นที่ที่เป็นโต๊ะของรินที่กำลังนั่งตั้งใจเรียนอยู่ ผมจึงถลึงตาเพื่อดูให้อย่างแน่ใจว่าวงกลมสีชมพูที่ปรากฏขึ้นคืออะไรกันแน่

เมื่อผมสังเกตดูแล้ว ผมพบกับอักขระตัวอักษรที่ผมไม่สามารถทำความเข้าใจได้อยู่รอบวงกลมดังกล่าวจำนวนมาก พร้อมทั้งตรงจุดศูนย์กลางของวงกลมมีรูปร่างลักษณะเหมือนเป็นโล่ที่มีใบหน้าของเสืออยู่บนโล่อีกที ของแบบนี้.. ของแบบนี้มัน..

“มันเหมือน.. วงเวทเลยไม่ใช่เหรอ” ผมพึมพำออกมา
“อะไรนะ จิร...วัฒ...น์”

ครูเดชที่ได้ยินผมพึมพำจึงถามย้ำผมอีกรอบเพราะคิดว่าผมกำลังตอบคำถาม แต่เมื่อครูเดชมองตามสายตาของผมลงไปที่พื้นใต้โต๊ะของริน เสียงของครูเดชก็ค่อยๆขาดหายไป

“นะ นี่มัน..!!” ครูเดชตะโกนออกมาสุดเสียง

ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อนในห้องผมคนอื่นที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวนัก เนื่องจากพวกเขาจ้องมองไปที่หนังสือเพื่อหาคำตอบของคำถามที่ครูเดชได้ถามผมไปเมื่อสักครู่นี้ จึงหันมาสนใจต้นเสียงจากครูเดชที่อยู่ดีๆก็ตะโกนออกมา จนพวกเขาเองก็พบว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ และสายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปที่วงเวทใต้โต๊ะของริน โดยเฉพาะตัวรินเองที่เพิ่งสัมผัสได้ถึงแสงสะท้อนจากใต้พื้นที่ของเธอ เมื่อเธมก้มลงมอง สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความตกใจ

ไม่ทันที่จะได้มีใครส่งเสียงใดอื่นออกมา แสงสว่างสีขาวบริสุทธิ์ก็เข้าปกคลุมสายตาและทัศนวิสัยของผมจนไม่อาจมองเห็นอะไรได้อีก ภาพสุดท้ายที่ผมรับรู้ก่อนแสงสีขาวจะเข้าปกคลุมวิสัยทัศน์ของผมคือภาพที่วงเวทสีชมพูขนาดเล็กขยายออกเป็นวงเวทขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ทั้งห้องเรียนอย่างฉับพลัน

ผมกำลังรอว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องหรือเสียงโวยวายจากเพื่อนร่วมห้อง หรือไม่แต่ผมกลับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เหมือนว่าผมกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเข้าปกคลุมทั้งหมดของผม ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกับผมกำลังยืนอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ที่ด้านในทาสีขาวและมีไฟเปิดให้แสงอยู่ตลอดเวลาจนมองอะไรไม่เห็น ในขณะที่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวด้านนอก

กระบวนการเช่นนี้กินเวลาไปเกือบๆนาที แม้ผมจะพยายามหลับตาลงแต่แสงสีขาวนี้ก็รุนแรงมากจนทะลุเปลือกตาเข้ามาอยู่ดี จนกระทั่งแสงสีขาวบริสุทธิ์รอบตัวของผมค่อยๆลดจางลงทีละนิด จนวิสัยทัศน์ของผมเริ่มกลับมาเป็นเหมือนปกติ แสบตาชะมัดเลย นึกว่าตาจะบอดเสียแล้ว

หลังจากที่สายตาของผมกลับมาเป็นปกติ ผมก็รู้สึกตกใจทันที ถ้าถามว่าเพราะอะไร ผมสามารถอธิบายให้ฟังได้โดยง่าย สมมติว่าคุณกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนตามปกติ แล้วคุณหลับตาลงเพียงแค่ 1 นาที เมื่อคุณกลับมาลืมตา ปรากฏว่าคุณกำลังยืนอยู่กลางพระราชวังทรงยุโรปที่ตกแต่งอย่างหรูหารและอลังการพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องของคุณอีก 20 กว่าคน เป็นคุณ ถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไร ผมเองก็รู้สึกแบบเดียวกันนั่นแหละ

“บะ.. บ้าน่า! เป็นไปไม่ได้!”

เสียงแหบแห้งเหมือนเสียงของคนมีอายุค่อนข้างมากดังขึ้นไม่ไกลจากกลุ่มของเขาและผองเพื่อนที่กำลังเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง สายตาของผมจับจ้องไปยังต้นเสียงที่อยู่ด้านหลัง ต้นเสียงเป็นชายหัวล้านใบหน้ามีอายุ รอยย่น รอยเหี่ยว และตีนกาบดบังใบหน้าของเขาหมดสิ้น เขาสวมชุดคลุมสีน้ำตาลพร้อมกับไม้เท้า ที่ดูเหมือนไม้คทาชอบกล สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดวงตาทั้งสองต่างเบิกโพลง ปากที่อ้ากว้างจนเกือบเห็นลิ้นไก่

“เคดรอส.. นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน!”
“ไหนเจ้าบอกว่าด้วยข้อจำกัดของเรา.. เราจะอัญเชิญผู้วิเศษได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น! ไม่ใช่งั้นหรือ!?”

ต้นเสียงของประโยคเมื่อสักครู่นี้ดังขึ้นทางฝั่งตรงข้ามของชายชราที่ดูเหมือนจะมีนามว่า เคดรอส เมื่อผมหันกลับไป สายตาของผมก็พบกับชายที่สวมชุดเกราะเหล็กกล้าเหมือนดั่งอัศวิน ผมบลอนด์ทองจับจ้องมาด้วยสายตาที่ตกตะลึงมาไม่แพ้กัน มือซ้ายของเขาจับด้ามจับดาบที่ห้อยอยู่ในปลอกอย่างแน่นเสมือนว่ากำลังทำให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลงให้ได้

เดี๋ยวนะ.. เดี๋ยวก่อน.. ขอสรุปเหตุการณ์ตรงนี้เลยนะ

นี่ผมกับเพื่อนร่วมห้องของผมโดนอัญเชิญมาต่างโลกจริงเหรอ


...


..


.


ดูเหมือนว่า.. ความสงบสุขของผม..



คงไม่มีแล้วสินะ
CosmicTerror
CosmicTerror
Admin
Posts : 53
Join date : 2018-08-20
Age : 25
https://dwocity.forumotion.com

24 Over Empty Re: 24 Over

Tue Mar 05, 2019 8:11 pm
Chapter 1

สวัสดีครับ ผมจิรวัฒน์ ภุมิลักขณา หรือภูมิ ผมเคยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายธรรมดาๆคนหนึ่ง

ใช่ครับ “เคยเป็น”

เพราะนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผมและผองเพื่อนของผมจะไม่ใช่แค่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายธรรมดาๆอีกต่อไป

--------

หลังจากที่ผมและเพื่อนร่วมห้องของผมได้ถูกอัญเชิญมายังต่างโลกตามแบบฉบับนิยายต่างโลกที่ผมเคยอ่านมาบ้าง สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือความประหลาดใจของทุกๆคนที่ปรากฏอยู่ในห้องโถงพระราชาขนาดใหญ่ในวังสุดตระการตา ไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวผมเอง เพื่อนๆของผม และที่สำคัญที่สุดเลยคือปฏิกิริยาที่ประหลาดใจไม่แพ้กันของชายชราในชุดคลุมสีน้ำตาลแก่ และอัศวินหนุ่มผมบลอนด์ในชุดเกราะเหล็กกล้า

ถามว่าทำไมผมถึงทราบว่าสถานที่ที่พวกเราอยู่คือห้องโถงของพระราชา ก็สังเกตเห็นได้จากบัลลังก์ที่มีผ้าคลุมสีแดงอยู่ปลายตรงข้ามของห้องตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่พร้อมกับรูปปั้นของมนุษย์ทรงใหญ่ขนาบข้างอยู่

แต่ขณะนี้บัลลังก์นั้น.. ว่างเปล่า

จนเวลาต้องล่วงเลยผ่านไปซักพักหนึ่งพวกเขาทั้งสองคนที่เป็นผู้ “อัญเชิญ” พวกผมมาถึงกลับมาตั้งสติได้และสั่งให้พ่อบ้านที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวพาตัวผมและเพื่อนอีกจำนวนทั้งสิ้น 23 คนออกจากห้องนี้และรวมถึงครูเดชที่ติดร่างแหมาด้วย เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป

แต่หากว่าคำสั่งของอัศวินผมบลอนด์กับไม่เกิดผลใดๆต่อพวกเราแม้แต่น้อย นอกจากผมแล้ว ผมก็ยังคงสังเกตเห็นความวิตกกังวล ความหวาดกลัว ความประหลาดใจ ความตื่นตระหนก และความรู้สึกด้านลบอีกมากมายจากสีหน้าและแววตาของเพื่อนร่วมห้อง จนตกอยู่ในสภาวะที่ใครก็ไม่อาจพาพวกเขาไปไหนได้จนกว่าจะได้รับคำอธิบาย

ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไรนักที่จะเกิดปฏิกิริยาขึ้นแบบนี้กับเพื่อนร่วมห้องของผม จริงๆแล้วสิ่งที่แปลกในตอนนี้น่าจะเป็นผมเสียมากกว่า ทำไมผมกลับไม่มีความรู้สึกประหลาดใจหรือตื่นตระหนกเช่นนั้นบ้างเลย มันมาเพียงแค่ชั่ววูบเท่านั้น.. ก่อนที่อารมณ์ดังกล่าวจะหายไปจากจิตใจของผม เพราะเหตุใดกัน เป็นเพราะว่าผมเพิ่งได้บ่นถึงการอยากถูกอัญเชิญไปต่างโลกเมื่อไม่นานมานี้ แล้วดันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆเลยทำให้ผมไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าที่ควร

น่าจะต้องเป็นเพราะเหตุผลนี้แน่ๆ ต่อให้ไม่ใช่มันก็ต้องใช่ล่ะ เพราะผมยังไม่อยากคิดว่าตัวเองจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้เร็วขนาดนี้ เดี๋ยวจะถูกหาว่าตายด้านเอา

จนกระทั่งชายชรากับอัศวินหนุ่มรีบปรี่เข้าหากันเพื่อปรึกษาอะไรบางอย่างที่ผมไม่อาจได้ยินได้ แต่ผมสาบานเลยว่าผมเห็นริมฝีปากของทั้งอัศวินหนุ่มและชายชราค่อยๆขยับเป็นโค้ง ถึงแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็นเลยก็ตาม แต่ผมกลับมองเห็น นี่ผมสายตาดีขนาดนั้นเลยเหรอ

ในที่สุด อัศวินหนุ่มในชุดเกราะก็ขยับก้าวเดินมาเบื้องหน้ากลุ่มของพวกผมและตะโกนออกมาเพื่อสงบสติอารมณ์ของทุกๆคนในห้อง

“พวกเจ้าทุกคน! กรุณาสงบสติกันก่อนด้วย!”

สิ้นเสียงของอัศวินหนุ่ม เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ค่อยๆลดลงจนกระทั่งสถานการณ์กลับมาอยู่ในสภาวะปกติอีกครั้ง

“ข้าเข้าใจว่าทุกคนในตอนนี้กำลังสับสน แต่ขอให้พวกเจ้าสงบสติลงก่อน ขอให้ตั้งใจฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูดหลังจากนี้ และกรุณาปฏิบัติตามคำสั่งขอข้าด้วย”

หลังจากนั้นชายอัศวินจึงสั่งการให้พ่อบ้านประจำการพาตัวพวกเราทุกคนออกไปยังทางเดินด้านนอกห้องโถงพระราชาที่ปูด้วยพรมสีแดงทอดยาวออกไปถึงทางเดินด้านนอกด้วยเช่นกัน ตัวกำแพงตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวตัดกับทองอร่ามแท้แสดงถึงความหรูหราตระการตาของพระราชวัง

จนกระทั่งพวกเรามาถึงยังห้องรับประทานอาหารที่มีขนาดใหญ่โตไม่แพ้กันเลยกับห้องโถงพระราชา โต๊ะไม้ที่ตกแต่งขริบด้วยทองตั้งตระหง่านยาวพอที่จะสามารถรองรับพวกเราทั้งหมด 25 คนพร้อมกับอัศวินผมบลอนด์และชายชราหัวล้านได้พร้อมๆกัน ในขณะที่พวกเรานั่งลงได้ไม่นาน ประตูคู่สีขาวขริบทองก็เปิดออกเผยให้เห็นถึงเมดที่มาพร้อมกับรถเข็นที่มีอาหารมากมายหลายประเภทตั้งอยู่บนนั้น ก่อนที่อาหารเหล่านั้นจถูกนำมาจัดวางเรียงรายอย่างสวยงามบนโต๊ะอาหาร

เมื่อได้รับสัญญาณของการเตรียมโต๊ะอาหารเสร็จสิ้นจากเมดที่ยืนเตรียมตัวอยู่บริเวณริมประตู อัศวินผมบลอนด์ที่นั่งประจำหัวโต๊ะจึงกล่าวอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดทันที

โดยสรุปคือ ขณะนี้พวกเราอยู่ในอาณาจักรเพเดรียเป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในทวีปสกอร์น เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทวีปกินพื้นที่พอสมควร ประชากรทั้งหมดของโลกใบนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ มนุษย์ ดีม่อน และกึ่งมนุษย์ มนุษย์ส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ในทวีปสกอร์นที่อยู่ทิศเหนือของโลก ส่วนดีม่อนอาศัยอยู่ในทวีปทางทิศใต้ที่ชื่อว่าเมเนโร่ ส่วนเผ่ากึ่งมนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เหลือ

แน่นอนว่าเหมือนกับนิยายต่างโลกจำนวนหลายเรื่องที่มนุษย์กับดีม่อนย่อมตกอยู่ในสภาวะสงครามซึ่งกันและกันมานานหลายร้อยกว่าปี ไม่มีจบ ไม่มีสิ้นเสียที ถึงแม้ว่าดีม่อนจะมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์แต่ด้วยมนุษย์ที่มีจำนวนประชากรมากกว่าทำให้สถานการณ์สงครามของระหว่างสองเผ่าพันธุ์ยังคงไม่คืบหน้าไปไหน และไร้ซึ่งสงครามขนาดใหญ่มาได้เวลาพอสมควรแล้ว

นอกเหนือจากประชากรมนุษย์ ดีม่อน และกึ่งมนุษย์แล้ว บนโลกใบนี้ยังมีสิ่งชีวิตแปลกประหลาดที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆ สถานที่ที่ไร้ซึ่งการดูแลและทิ้งร้าง ดันเจี้ยน และอื่นๆอีกมากมายที่อยู่นอกกำแพงเมือง แน่นอน แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นรู้จักในนามของมอนสเตอร์ที่ขาดความฉลาดและมันสมองเหมือนดั่งเผ่าพันธุ์สูงส่งทั้ง 3 กลุ่ม และพร้อมที่จะกัดกินชีวิตของพวกเรา

แต่ถึงกระนั้นเองสงครามระหว่างมนุษย์กับดีม่อนก็ติดอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่สามารถทำอะไรกันได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อกัน แต่สุดท้ายแล้วฝ่ายมนุษย์ก็ตัดสินใจลงมือก่อนด้วยการที่ให้อาณาจักรที่มีอาณาเขตติดกับทะเลและยิ่งใหญ่อย่างอาณาจักรเพเดรียเป็นผู้อัญเชิญผู้วิเศษมาจากต่างโลก เพื่อหวังว่าจะได้เป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้สงครามกับเหล่าดีม่อน

คลาสสิกสินะ พล็อตเนื้อเรื่องของมนุษย์ต่อสู้กับดีม่อนโดยมีพวกกี่งมนุษย์ที่ไม่ได้ฝักใฝฝ่ายใด พร้อมกับมอนสเตอร์สัตว์ประหลาดอีกจำนวนมากให้เราได้ไปต่อกรเพื่อเก็บค่าประสบการณ์

แต่ว่า.. ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆกับคำพูดของชายอัศวินผมบลอนด์คนนี้ล่ะ

มันเป็นความรู้สึกที่.. ไม่ชอบมาพากลยิ่งนัก ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เหม็นสาบออกมาจากริมฝีปากของชายคนนี้ ถ้าจะให้ระบุให้ชัดเจนคงไม่ใช่ริมฝีปากหรอก.. มันออกมาจากคำพูดงั้นเหรอ แปลก.. ขนาดผมกลั้นหายใจแล้วผมยังได้กลิ่นเหม็นสาบนี่อยู่เหมือนเช่นเคย

นอกจากกลิ่นเหม็นสาบที่ผมต้องจำใจสูดดมเข้าไปแล้ว ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันตรายที่แผ่ออกมาจากชายหนุ่มผมบลอนด์คนนี้

ไม่ใช่.. ผมไม่ควรจะเชื่อใจชายคนนี้

แต่ผมก็ไม่อาจพูดอะไรออกไปในช่วงเวลานี้ได้ เพราะผมไม่มีทางที่จะต่อกรกับชายคนนี้หรือชายชราได้เลย ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่มีพละกำลังในการต่อกรกับพวกเรา แถมยังไม่นับจำนวนข้ารับใช้อย่างเมดหรือพ่อบ้านที่อยู่เรียงกายอยู่ไม่ห่างออกไป อีกทั้งเราเองก็อยู่ในสถานที่ของ “ศัตรู” การกระทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย

“อ๊ะ เสียมารยาทเสียจริง ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ” ในระหว่างที่ผมกำลังง่วนอยู่กับความเหม็นของอัศวินหนุ่มผมบลอนด์คนนี้ เจ้าตัวก็ได้พูดออกมา
“ข้ามีพระนามว่ามาลตัน โอโลนิอุส เจ้าชายรัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งตระกูลโอโลนิอุส กษัตริย์แห่งอาณาจักรเพเดรีย”
“ส่วนสหายด้านข้างผมคือเคดรอส ปราชญ์ผู้อาวุโสแห่งอาณาจักรเพเดรีย”

แบบนี้เองสินะ เจ้าชายรัชทายาทลำดับที่ 3 เป็นผู้ที่มาต้อนรับพวกเรา.. หืม อะไรนะ เขาเป็นเจ้าชายจากตระกูลกษัตริย์ ดังนั้นเราก็ควรใช้คำราชาศัพท์กับเขาด้วย.. ไม่ล่ะ ขอปฏิเสธ ผมพูดกันตรงนี้เลยนะว่าคำราชาศัพท์มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างหยิ่งยโสและโอหังมากเลย มันห่วยแตกมากสำหรับชนชั้นไพร่ ชนชั้นรากหญ้า ชนชั้นประชาชนแบบเราๆ แค่นี้ภาษาของเราก็มีระดับความสุภาพที่แตกต่างกันออกไปมากพอแล้ว คำหยาบ คำเป็นกันเอง คำกึ่งสุภาพ คำสุภาพ แค่นี้ยังไม่พอใจกันอีกเหรอ ทำไมถึงต้องนำคำราชาศัพท์มาใช้อีก

จริงๆสาเหตุของการใช้คำราชาศัพท์มันก็เป็นเพียงแค่การให้ความเคารพต่อชนชั้นสูงเท่านั้นและมักจะใช้ในกรณีที่เราจำเป็นจะต้องพบปะ พูดคุย หรือกล่าวถึงชนชั้นกษัตริย์ ซึ่งผมถามจริงนะ คิดว่าคนอย่างเราๆจะมีโอกาสได้เจอกับชนชั้นกษัตริย์อีกกี่ครั้ง ทั้งในปัจจุบันหรือในอดีตไม่ได้ต่างอะไรกันเลย ชนชั้นกษัตริย์วางตัวเองอยู่ห่างจากชนชั้นล่าง สร้างระยะห่าง แล้วจำต้องให้พวกเราใช้คำศัพท์ที่พวกเราไม่เคยใช้ในชีวิตประจำวันเลย ต้องมาใช้กับพวกท่านในโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ประมาณ 1 ในพัน ในหมื่น ในแสน

ขอทีเถอะครับ ขนาดกษัตริย์บางท่านยังกล่าวไว้เลยว่าไม่ได้ต้องการให้มาใช้คำราชาศัพท์กับท่านก็ได้ แต่คนต่อมาหลังจากท่านนั้นคงไม่ยอมให้ยกเลิกคำราชาศัพท์หรอก เผลอๆอยากจะกุมอำนาจกว่าเดิมด้วยซ้ำ

สำคัญที่สุดเลยคือคำราชาศัพท์ก็เป็นแนวคิดที่เหมือนกันกับระดับการใช้คำสุภาพ หรือก็คือยิ่งคนเราให้ความเคารพต่อคู่สนทนามากเท่าไร เราก็จะยิ่งใช้ชุดคำศัพท์ที่สุภาพมากขึ้นตาม เช่น นักเรียนให้ความเคารพกับคุณครู ลูกเคารพพ่อแม่ หรือรุ่นน้องเคารพรุ่นพี่ แต่ก็เหมือนกัน หากเราไม่ได้ให้ความเคารพต่อใครทำไมเราจะต้องใช้ชุดคำศัพท์ที่สุภาพกับคนๆนั้นด้วย

ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งบ่นพึมพำอยู่ภายในใจของผมนั้นเอง ก็เป็นอีกครั้งที่ผมได้ยินถึงเสียงโหวกเหวกโวยวายจากรอบข้างของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเพื่อนร่วมห้องของผมเอง บางคนถึงขั้นหลั่งน้ำตาออกมา หรือบางคนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ และบางคนก็ไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย 1 ในคนที่ไม่ได้สีหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรไปก็คือผมนี่เอง เพราะผมไม่ได้ฟังสิ่งที่มาลตันกล่าวมาก่อนหน้านี้

“ข้าต้องขอโทษด้วย แต่พวกข้าตอนนี้หรือในอนาคตอันใกล้นี้ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะส่งพวกเจ้ากลับโลกของเจ้าได้”

อา แบบนี้เองสินะ ก็ไม่แปลกใจหรอกที่ทำไมเพื่อนๆถึงทำสีหน้าปลดปล่อยอารมณ์กันมาแบบนั้น ในความเป็นจริงแล้วการกระทำของมาลตันเองไม่ใช่เรื่องที่น่ายอมรับเลยนะ มันคือการลักพาตัวดีๆนี่เอง ลักพาตัวพวกผมจากอีกโลกหนึ่ง ให้มาอีกโลกหนึ่งโดยไม่มีหนทางกลับและต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ต่อไปเท่านั้น

ผมเองก็หงุดหงิดนะครับ ผมหงุดหงิดมาตั้งแต่ตอนที่ผมเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่ผมไม่ควรจะมองมันเห็นด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างที่ผมได้บอกไปข้างต้นว่าที่นี่คือดินแดนของ “ศัตรู” เราไม่อาจทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังได้
“การอัญเชิญผู้วิเศษจากต่างโลกจำต้องใช้พลังเวทมนตร์จำนวนมาก นอกเหนือจากนี้แล้วยังต้องใช้วัตถุดิบที่หายากและอยู่ในสถานที่ลับแลอันนอกเหนืออาณาเขตของอาณาจักรของข้า”
“เดิมทีแล้วข้ากับเคดรอสมีวัตถุดิบและพลังงานเวทมนตร์เพียงพอสำหรับการอัญเชิญผู้วิเศษจากต่างโลกเพียงคนเดียวเท่านั้น.. ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมพวกข้าถึงสามารถอัญเชิญพวกเจ้ามาได้ถึง 25 คน”

นั่นสินะ.. ถ้าจำไม่ผิดเมื่อย้อนกลับไปตอนที่พวกผมถูกอัญเชิญมาจากห้องเรียนที่ปกติและแสนจะธรรมดาของโรงเรียนสยามธิบดี คำพูดแรกที่ผมได้ยินก็คือคำพูดที่แสดงถึงความประหลาดใจของพวกเขาสองคนที่ในความเป็นจริงแล้วมาลตันและเคดรอสควรจะอัญเชิญผู้วิเศษจากต่างโลกได้เพียงแค่คนเดียว

ว่าแต่.. อย่าหาว่าผมขี้สงสัยเลยนะเพราะผมก็รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าผมขี้สงสัย ทำไมพวกเราถึงสามารถฟังและพูดภาษาของคนต่างโลกได้อย่างง่ายดายแบบนี้ล่ะ ระหว่างทางที่พวกเราถูกอัญเชิญมามีหุ่นยนต์แมวสีฟ้าตัวป้อมยัดวุ้นแปลภาษาเข้าปากเราเหรอ

จากนั้นผมเหลือบมองเพื่อตรวจสอบสีหน้าของเพื่อนร่วมห้องและครูเดชที่นั่งอยู่ติดกับหัวโต๊ะ ติดกับมาลตันเจ้าชายรัชทายาทลำดับที่ 3 สีหน้าของทุกคนก็ไม่สู้ดีนัก ไม่ได้ต่างอะไรจากก่อนหน้านี้ เพียงแต่ความความผิดหวัง สิ้นหวัง ความหมดหวัง ต่างเข้าปกคลุมตัวบุคคลเมื่อทราบว่าไม่อาจกลับไปยังโลกเดิมของตนเองได้แล้ว ผมสัมผัสได้ถึงรังศีความเศร้า ความหม่นหมองจากรอบๆกายของแต่ละคน

“พวกเราเป็นแค่เด็กเรียนธรรมดานะ จะให้เราไปสู้รบปรบมือกับพวกดีม่อนนั่นบ้าอะไร!”
“จะบ้าเหรอ.. นี่ฉันเพิ่งอายุ 16 ปีเองนะ!”
“อ่าว.. แล้วที่ฉันเตรียมอ่านหนังสือสอบมาล่ะ.. ไม่นะ..”

มีเพียงแต่ครูเดชเท่านั้นซึ่งไร้อารมณ์ใดๆ ไม่มีแม้แต่รังศีหรือเศษเสี้ยวอารมณ์ปรากฏอยู่บนใบหน้า สมแล้วที่เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่ถูกอัญเชิญมา แต่สถานการณ์แบบนี้แสดงอารมณ์บ้างก็ได้นะครับ คุณครู

แต่แปลกแฮะ.. ผมว่าผมไม่ใช่คนที่อ่อนไหวหรือเซนซิทีฟกับอารมณ์คนอื่นขนาดนี้นะ ผมรู้สึกเหมือน.. มีอะไรบางอย่างในตัวผมที่.. เปลี่ยนไป

“แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ในเมื่อพวกเจ้าคือผู้วิเศษที่ข้าอัญเชิญมาจากต่างโลก พวกเจ้าย่อมมีความสามารถเหมือนดังเช่นประชากรในโลกใบนี้อยู่แล้ว แน่นอน พวกเจ้าคือผู้วิเศษ พวกเจ้าย่อมมีความสามารถมากกว่าใครก็ตามในโลกใบนี้ เพียงแค่พวกเจ้าฝ่านการฝึกฝน พวกเจ้าก็จะสามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดและสามารถต่อกรกับจอมมารได้อย่างง่ายดาย” มาลตันรีบโน้มน้าว

“การที่พวกเจ้าสามารถต่อกรกับจอมมารได้ด้วยตัวคนเดียว หมายความว่าพวกเจ้าเองก็ย่อมมีพลังเวทที่เพียงพอต่อการสร้างประตูข้ามมิติเพื่อเดินทางกลับไปยังโลกเดิมของพวกเจ้าได้”

สิ้นประโยคคำพูดของมาลตัน แสงแห่งความหวังก็เสมือนว่ากลับมาฉายอยู่เบื้องหน้าของเหล่าเพื่อนร่วมห้องของผม ยังคงมีความเป็นไปได้ในการที่จะกลับไปที่โลกเดิมของเราได้ แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลานานก็ตามที แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนอื่นๆต่างรู้สึกถึง “ความหวัง” ทำให้สีหน้าและแววตาของแต่ละคนเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง สดใสในที่นี้หมายถึงสีหน้าที่หม่นหมอง เศร้า และโกรธาได้หายไป แต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์ด้านบวกโผล่มา

“ดังนั้นแล้ว ข้าอยากจะขอความร่วมมือพวกเจ้าทุกคนในการปราบเหล่าดีม่อนทั้งหมดให้สิ้นซาก ปราบเหล่าจอมมาร โดยข้าพร้อมที่จะจัดหาที่พักและคอยดูแลพวกเจ้าอย่างเต็มกำลัง พร้อมให้การฝึกฝนเจ้าอย่างเต็มที่ เมื่อเราฝ่ายมนุษย์สามารถเอาชนะสงครามได้ หลังจากนั้นถ้าพวกเจ้ายังมีความต้องการที่จะกลับโลกใบเดิมของเจ้า ข้าเองก็จะไม่หักห้ามใดๆ ไม่แน่ว่าหลังจากที่พวกเจ้าใช้เวลาอยู่ที่โลกใบนี้แล้ว เจ้าอาจจะหลงรักมันแล้วไม่อยากกลับโลกเดิมก็เป็นได้”
“แถมการที่เจ้าสามารถปราบมอนสเตอร์หรือเหล่าดีม่อนก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พวกเจ้าเติบโตขึ้นได้จากค่าประสบการณ์ที่พวกเจ้าจะได้รับมา” มาลตันกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพบุรุษและดูเต็มไปด้วยความจริงใจ

เหม็น! เหม็นหึ่งเลย! ทำไมมันถึงได้กลิ่นเหม็นออกมาจากคำพูดของมาลตันขนาดนี้! โดยเฉพาะคำพูดชุดแรกก่อนที่มันจะพูดเสริม ทำไมล่ะ.. ความรู้สึกแบบนี้ กลิ่นตุๆแบบนี้.. มาลตันกำลังโกหกอยู่งั้นเหรอ ผมมั่นใจเลยว่ามาลตันกำลังโกหกพวกเราอยู่..

มันแปลกเกินไป ตามปกติแล้วเรื่องการอัญเชิญผู้วิเศษมาจากต่างโลกแบบนี้น่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาก คนที่ควรปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกผมก็ควรจะเป็นถึงขั้นพระราชาของอาณาจักรหรือไม่ก็พระสันตะปาปาของโบสถ์สิ แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่ใช่.. คนที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากลับเป็นเพียงแค่นักปราชญ์อาวุโสของอาณาจักรกับรัชทายาทลำดับที่ 3.. แค่ลำดับที่ 3!

จะบอกว่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าคนอื่นๆไม่สะดวกงั้นเหรอ แต่เรื่องนี้ต่อให้ถามใครมันก็น่าจะเข้าข่ายของขอบเขตคำว่า “เรื่องใหญ่” อยู่นะ..

บ้าบอ! ทำไมตอนอยู่ประเทศไทยผมถึงไม่มีความสามารถแบบนี้ล่ะ ผมก็ไม่ได้มั่นใจเลยว่าผมจับโกหกคนได้แม่นยำสมัยตอนที่อยู่ประเทศไทย ไม่ได้กลิ่นเหม็นจากคำพูดด้วย ไม่มีความรู้สึกแปลกๆที่ติดอยู่ในใจด้วย.. แถมยังมีเรื่องของการที่ผมมองเห็นถึงรังศีรอบตัวของคนอีก.. มีอะไรบางอย่างที่แปลกไปเกิดขึ้นกับตัวของผมในระหว่างทางที่ผมมายังโลกใบนี้แน่ๆ

แต่ด้วยคำพูดนี้ของมาลตันก็ทำให้จิตใจและสปิริตของเหล่าเพื่อนๆของผมกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม บางคนถึงขั้นเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ถ้าฟังจากคำพูดของมาลตันดีๆแล้ว มาลตันได้เอ่ยถึงคำว่า “ค่าประสบการณ์”.. อย่าบอกนะว่านี่เป็นต่างโลกที่ใช้ระบบเกมแบบอาร์พีจี ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นิยายต่างโลกช่วงหลังมานี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถอธิบายถึงตัวตนของค่าประสบการณ์ที่มาลตันกล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ได้

อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนี้

พวกเราเองก็ยังคงเป็นแค่เด็กนักเรียนวัยรุ่นธรรมดาที่ศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ถ้าหากจะมีผู้ชายหรือผู้หญิงคนไหนหรือที่รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก หลุดไปยังต่างโลกและได้รับพลังสุดวิเศษมา ปราบมอนสเตอร์ ปราบดีม่อน ปราบจอมมาร นี่มันไม่ได้ต่างอะไรกับตัวละครเอกในนิยายต่างโลกเลย

ผมเองก็.. รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเหมือนกัน ถ้าว่ากันตรงๆ

“ถ้าเช่นนั้น ถ้าหากว่าพวกเจ้าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ.. ก็ขอเชิญพวกเจ้ารับประทานอาหารให้อิ่ม หลังจากนั้นเราจะไปกันที่ลานด้านในพระราชวัง”

ทุกคนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงและใช้มือจับส้อมและมีดเพื่อรับประทานอาหารที่จัดอย่างหรูหราเบื้องหน้า ให้ตายเถอะ ทำไมต้องเป็นวัฒนธรรมแบบฉบับของยุโรปด้วย ไม่ค่อยจะเห็นวัฒนธรรมเอเชียในกลุ่มนวนิยายแฟนตาซีหรือต่างโลกบ้างเลย ทำไมล่ะ ใช้ช้อนกับตะเกียบมันผิดตรงไหน

ในขณะที่พวกเราทานอาหารไปได้ชั่วสักครู่หนึ่ง มาลตันผู้ซึ่งทำการสนทนากับครูเดชที่นั่งอยู่ไม่ห่างนัก ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเปล่งเสียงออกมา

“ถือว่าให้พวกเจ้าได้มีความกระตือรือร้นกันก่อนการฝึกฝน พวกเจ้าลองพูดคำว่า <สเตตัส> ออกมาดู ไม่จำเป็นจะต้องเปล่งเสียงออกมา ขอแค่เพียงพวกเจ้าพูดคำๆนี้ออกมาในใจก็พอ”
“พวกเจ้าก็จะเห็นสเตตัสพร้อมทั้งสกิลติดตัว (Innate Skill) ของเจ้า ตามปกติแล้ววัยอย่างพวกเจ้าควรจะมีค่าสเตตัสแต่ละอย่างอยู่ที่โดยเฉลี่ยแล้ว 10 แต่ถ้าหากเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนเองก็น่าจะมีค่าที่มากกว่านั้น เช่นเดียวกันกับพวกเจ้า ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าจะต้องมีสเตตัสที่สูงกว่าประชาชนที่ได้รับการฝึกฝนในโลกใบนี้อีกแน่ และคาดว่าน่าจะมีสกิลติดตัวมาด้วยหลังจากที่ข้าได้อัญเชิญพวกเจ้ามาในฐานะผู้วิเศษ”
“สกิลติดตัวของพวกข้าจะมีได้แค่สกิลเดียวเท่านั้น พวกเจ้าน่าจะมีสกิลติดตัวมากกว่านี้อย่างแน่นอน”

รอสักครู่นะ พอดีผมกำลังนำชิ้นเนื้อสเต๊กที่หั่นมาเข้าในปากเพื่อลิ้มรสชาติอยู่.. แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่าเป็นแนวต่างโลกที่ใช้ระบบจากเกมอาร์พีจีแน่นอนแล้วสินะ ถ้าหากมีทั้งสเตตัส สกิล และทักษะด้วยนี่.. ไหนดูซิ

“<สเตตัส>”

Name: Jirawat "Poom" Poomlakkana
Strength: 20 (0/210 XP)
Dexterity: 25 (0/260 XP)
Vitality: 11 (0/120 XP)
Magic: 50 (20/510 XP)
Luck: 25 (-/- XP)
Innate Skills: - [Conspired Sense]
- [Omnisight]
- [Native Language Comprehension]

เห.. นี่ก็ถือว่าสูงอยู่นะ โดยเฉพาะค่าของเวทมนตร์ (Magic) เนี่ย.. เห็นเมื่อสักครู่นี้มาลตันบอกไว้ว่าถึงแม้จะเป็นประชากรที่ได้ผ่านการฝึกฝนมาบ้าง ค่าสเตตัสโดยเฉลี่ยก็น่าจะมากกว่า 10 ไม่เท่าไรนัก แต่นี่ของผมล่อไปสูงถึง 50.. เอ๊ะ แล้วทำไมมีเพียงแค่ค่าเวทมนตร์ของผมที่ได้รับค่าประสบการณ์ล่ะ ไม่สิ คงต้องถามว่าทำไมค่าเวทมนตร์ของผมถึงได้รับค่าประสบการณ์ด้วย หรือว่ามันจะเกี่ยวกับสิ่งแปลกประหลาดที่ผมรู้สึกในวันนี้กันนะ..

อ๊ะ ใช่แล้ว ขอดูสกิลติดตัวหน่อยละกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

Innate Skill: [Conspired Sense]
Description: คุณจะรู้สึกถึงความผิดปกติและความอันตรายจากคำพูด ท่าทาง และสัญญาณต่างๆจากสิ่งมีชีวิต รวมถึงจะสามารถรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5

Innate Skill: [Omnisight]
Description: สายตาของคุณจะสามารถมองในสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สามารถมองเห็นได้ทุกสิ่งด้วยดวงตาของคุณ

Innate Skill: [Native Language Comprehension]
Description: คุณจะเข้าใจภาษาที่ใช้เป็นภาษาแม่ในอาณาจักรหรือประเทศที่อัญเชิญคุณมาในฐานะผู้วิเศษอย่างถ่องแท้เสมือนเป็นผู้ที่ใช้ภาษานี้เป็นภาษาแม่จริงๆ
CosmicTerror
CosmicTerror
Admin
Posts : 53
Join date : 2018-08-20
Age : 25
https://dwocity.forumotion.com

24 Over Empty Re: 24 Over

Fri May 31, 2019 2:58 pm
Chapter 2

หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารเย็นกันก็ได้รับการพาทัวร์และแนะนำทางสถานที่ต่างๆในพระราชวังของตระกูลราชวงศ์อย่างโอโลนิอุสจากเหล่าพ่อบ้านและคนรับใช้ เมื่อเสร็จสิ้นการนำทางแล้วก็ได้มีการรวมตัวที่สวนภายในวังเพื่อแจ้งกำหนดการในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับแจกจ่ายกุญแจห้องพักของแต่ละคน

ได้มีการประชุมหารือกันเพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับพวกเราทั้ง 25 คน นักเรียน 24 และคุณครู 1 ท่าน อย่างที่ทราบกันดีว่าผู้วิเศษที่ได้รับการอัญเชิญมานั้นมีมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ สุดท้ายแล้ว ข้อสรุปที่ได้คือทางพระราชวังจะจัดห้องรับแขกให้เป็นห้องพักหรือที่อยู่อาศัยของทุกคน โดยในห้องหนึ่งห้องจะมีผู้อยู่อาศัย 2 คน ส่วนคุณครูจะได้รับห้องส่วนตัวคนเดียว ทุกคนต่างเป็นอันเห็นพ้องต้องกันกับข้อเสนอนี้จึงเริ่มทำการจัดคู่ห้องกัน

ตัวผมก็พูดได้ไม่เต็มปากนักว่ามีเพื่อนสนิทมากมาย แต่ว่าอย่างน้อยก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่ค่อนข้างคุยกันอย่างถูกคอจนสนิทกันจนได้ แน่นอนว่าผมกับเขากลายมาเป็นคู่หูรูมเมทในห้องเดียวกัน

ตอนนี้เขาก็นั่งจัดสัมภาระของตัวเองอยู่มุมห้อง ทั้งกระเป๋านักเรียนก็ติดมายังโลกนี้ด้วยซึ่งเป็นกระเป๋านักเรียนทรงเป้สีดำพร้อมสลักตราสัญลักษณ์โรงเรียนสยามธิบดีไว้ รูปแบบพื้นฐานของกระเป๋านักเรียนในไทย รวมไปถึงสมาร์ทโฟนของแต่ละคนที่ยังคงทำงานอยู่เพียงแค่ไม่มีสัญญาณใดๆ และนาฬิกาในเครื่องก็ไม่ได้ทำงาน แต่สัมภาระนอกเหนือจากนี้ก็ได้รับมาจากคนรับใช้ไม่ว่าจะเป็นทั้งชุดเครื่องนุ่งห่ม ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว และชุดเครื่องอาบน้ำซึ่งถือว่าเป็นของหรูหราในโลกใบนี้ ควรจะรู้สึกดีใจดีไหมเนี่ย

เพื่อนผมคนนี้มีเส้นผมที่ตรงแต่ด้วยทรงผมฉวัดเฉวียนทำให้ดูยุ่งเหยิง ดวงตาแหลมคมและเบิกกว้างเผยให้เห็นถึงนัยน์ตาสีเขียวที่กำลังจดจ้องอยู่ที่สัมภาระของตนเอง ชื่อของเขาก็คือ เตชินท์ เลิศโพธิ์กลาง หรือเรามักจะเรียกเขาว่า เจต 1 ใน‘อดีต’สมาชิกวงดุริยางค์ประจำโรงเรียนและชมรมออร์เคสตรา ชายผู้ที่เรามักจะเห็นประจำบริเวณหน้าเสาธงในพิธีเคารพธงชาติ

พอพูดถึงพิธีเคารพธงชาติแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้.. ผมไม่เข้าใจถึงความจำเป็นและจุดมุ่งหมายของพิธีเคารพธงชาตินี้เลยนอกเสียจากยัดเยียดความรักชาติให้ผ่านทางรูปแบบที่ล้าหลัง ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีผลอะไรโดยตรงต่อการเรียนหรือแม้กระทั่งระเบียบวินัยก็ตาม มันเสียเวลากันทั้งหมดแทนที่จะนำเวลาตรงเคารพธงชาตินี้ไปใช้สำหรับคาบโฮมรูมยังดีเสียกว่า ถ้าจะใช้เหตุผลว่าเรียกนักเรียนมารวมตัวกันเพื่อแจ้งข่าวสาร ให้ครูที่ปรึกษาแต่ละห้องได้นำข่าวสารมาแจ้งกับนักเรียนในคาบโฮมรูมก็ยังได้ เว้นเสียแต่จะเป็นข่าวสารที่สำคัญจริงๆ หรือมีเหตุการณ์ที่สำคัญจริงๆ ก็ค่อยเรียกรวมในเวลานั้นก็ไม่เสียหาย

ว่าไปนั่น ยังไงเรื่องราวเหล่านั้นก็ต้องเก็บพักไว้ก่อน เพราะตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่โลกใบเดิมอีกต่อไปแล้ว บัดนี้เราได้ย่างก้าวเข้ามาสู่โลกใบใหม่อย่างแท้จริงถึงแม้การย่างกรายเข้ามาที่โลกใบใหม่แห่งนี้จะเป็นการขัดขืนใจกันก็ตาม แต่ในเมื่อสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ คงต้องเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง และมันก็อาจจะดีต่อสถานการณ์ที่ผมคาดหวังเอาไว้ก็เป็นได้

ความต้องการในการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและชีวิตที่เป็นปกติ

แต่ก่อนอื่นคงต้องชนะสงครามกับเหล่าดีม่อนและปราบจอมมารให้ได้ก่อนสินะ ถ้าอ้างอิงจากคำพูดของมาลตันล่ะก็นะ

ทุกอย่างที่ออกจากปากของมันเหม็นกลิ่นสาบอย่างรุนแรง ในทีแรกผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมถึงได้กลิ่นหเหม็นสาบจาก ‘คำพูด’ ของมาลตัน แต่หลังจากที่ผมได้ตรวจสอบสกิลติดตัว (Innate Skill) ของผมก็ทำให้ผมถึงบางอ้อทันที

Innate Skill: [Conspired Sense]
Description: คุณจะรู้สึกถึงความผิดปกติและความอันตรายจากคำพูด ท่าทาง และสัญญาณต่างๆจากสิ่งมีชีวิต รวมถึงจะสามารถรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5

นอกจากนี้ การที่ผมสามารถมองเห็นถึงรอยยิ้มมุมปากอันเล็กๆ ของมาลตันที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่สิ ที่ไม่ควรมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็น่าจะเป็นเพราะสกิลติดตัวอีกสกิลของผมสินะ

Innate Skill: [Omnisight]
Description: สายตาของคุณจะสามารถมองในสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สามารถมองเห็นได้ทุกสิ่งด้วยดวงตาของคุณ

หมายความว่ามาลตันกำลังโกหกอยู่ เกือบจะทุกอย่างที่มาลตันพูดมาคือสิ่งโกหกหมดเลย..

แต่จะพูดก็พูดเถอะ.. นี่มันไม่โกงไปหน่อยเหรอ เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้จะบ่นอะไรหรอกนะ ก็ถือว่าเป็นชุดสกิลที่ค่อนข้างมีประโยชน์เมื่อมาอยู่ด้วยกัน อย่างที่มาลตันได้อธิบายไว้ว่า ‘ผู้วิเศษ’ จากต่างโลกจะมีสกิลติดตัว 2 ชนิดซึ่งเยอะกว่าประชากรในโลกใบนี้ที่จะมีสกิลติดตัวแค่ 1 สกิลเท่านั้น ทำให้พวกเราทรงพลังและแข็งแกร่งมากกว่าประชากรในโลกนี้เป็นไหนๆ นี่ยังไม่นับถึงค่าสถานะที่มีมากกว่าอีกเป็นเท่าตัวนะ

แถมได้ยินมาว่าสกิลติดตัวจะได้รับผลกระทบหรือสร้างโดยการอ้างอิงจากอุปนิสัยและลักษณะของตัวบุคคล... นี่หมายความว่าตัวผมเป็นพวกตัวละครแนวอยู่หลังฉาก คอยตอบโต้แผนการของศัตรูงั้นเหรอ จะว่าใช่มันก็ใช่อยู่หรอก

ค่อนข้างเข้าใจแล้วว่าทำไมการอัญเชิญผู้วิเศษแต่ละครั้งต้องใช้พลังเวทมนตร์จำนวนมหาศาล และการปรากฏตัวของพวกเราทั้ง 25 คนถึงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างมาก

คำถามก็คือ ทำไมพวกเราถึงถูกอัญเชิญมาตั้ง 25 คนได้ ทั้งๆที่แต่เดิมทางมาลตันและเคดรอสต้องการอัญเชิญผู้วิเศษแค่คนเดียวเท่านั้น ทำไมถึงเกินมาตั้ง 24 คน

.....ช่างมันก่อนละกัน วันนี้ก็ไม่ใช่วันที่ควรมาคิดอะไรแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ต้องมาเผชิญกับเรื่องราวน่าปวดหัวและน่าเหนื่อยหน่ายมากมาย ตั้งแต่โดนอัญเชิญมาต่างโลกแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องเตรียมพร้อมเพื่อต่อสู้กับมอนสเตอร์ ดีม่อน และจอมมาร ต้องฝึกฝน ต้องมาเรียนรู้เบื้องหลังของโลกใบนี้อีก มันเหนื่อยจะตายเลยวันนี้ มันไม่ได้เหนื่อยกายหรอก แต่มันเหนื่อยใจมาก

แต่ดูสภาพแล้วคงนอนไม่หลับหรอก และผมคิดว่าคงมีอีกหลายคนที่นอนไม่หลับด้วย ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถ้าอยากจะถามถึงตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ก็นี่เลย เจตที่กำลังจัดสัมภาระไม่เสร็จเสียทีทั้งๆ ที่ใช้เวลามาก็ค่อนข้างนานพอสมควร

ดูสิ เห็นชัดเลยว่ามันกำลังเหม่อลอยอยู่ ดูเหมือนว่าตอนนี้เจตกำลังนำของอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋านักเรียน สิ่งที่เจตกำลังถืออยู่ในมือคือฟลุตสีเงินมันวาว สายตาของมันจับจ้องไปที่ฟลุตอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

สงสัย.. คงจะคิดถึงโลกที่เราจากมาสินะ

“เฮ้ย ไอ้เจต” ผมทักขึ้นมา
“...หืม ว่าไงภูมิ” เจตตอบกลับผมหลังจากทิ้งช่วงไปนึดนึง
“แกคิดยังไงกับเรื่องทั้งหมดนี่วะ”
“จริงๆ.. ฉันก็ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามด้วยเท่าไหร่หรอก.. แต่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ อย่างน้อยที่สุดเราก็จะได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์โอโลนิอุส ชีวิตก็ไม่น่าลำบากเท่าไหร่หรอก” เจตหันมาอธิบาย
“แถมสกิลติดตัวของฉันก็ค่อนข้างจะเหมาะสมกับฉันดีเหมือนกันนะ”

เจตยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะดูเหมือนว่ากำลังเปิดดูหน้าต่าง <สเตตัส> ของตนเองขึ้นมา

“ถ้าให้เดาก็คงต้องเกี่ยวข้อบกันดนตรีแหง” ผมตอบกลับ ผมเองก็อยากเห็นสกิลติดตัวของเจตเหมือนกันนะ แต่คงมองไม่เห็นหรอกสิ..นะ...

Name: Techint "Jade" Lertpoklang
Strength: 14 (0/150 XP)
Dexterity: 17 (0/180 XP)
Vitality: 15 (0/160 XP)
Magic: 60 (0/620 XP)
Luck: 15 (-/- XP)
Innate Skills: - [Musical Arts]
- [Perceptive Ears]
- [Native Language Comprehension]

อย่าบอกนะว่านี่เองก็เป็นผลของสกิลติดตัว <Omnisight> ของผม.. สมชื่อจริงๆ สามารถมองเห็นได้แม้กระทั่งหน้าต่างสเตตัสของบุคคลอื่น แบบนี้มันเหมือนกับผมเป็นคนขี้เสือกเลยไม่ใช่เหรอ แล้วเล่นมองทะลุคนอื่นได้แบบนี้... ไม่เอา ไม่ควรบอกคนอื่นเรื่องนี้ดีกว่า เดี๋ยวจะงานเข้าเอาได้

“เออ เจต”
“หืม อะไรอีกล่ะรอบนี้”
“ฉันมีอะไรอยากจะบอกให้แกรู้ก่อนอย่างหนึ่ง.. อย่าไว้ใครใครในพระราชวังเด็ดขาด ทั้งเคดรอส.. และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาลตัน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติทำให้เจตชะงักไปชั่วครู่
“นี่นาย.. หมายความว่ายังไง”
“เอาเป็นว่ามันเป็นเพราะสกิลติดตัวของฉันละกัน อารมณ์ประมาณให้ฉันจับโกหกคนอื่นได้น่ะ”

“นี่ ภูมิ”
“ว่าไง เจต”
“อย่าไปบอกใครเขาเชียวนะ เรื่องที่แกจับโกหกได้เนี่ย เดี๋ยวจะไม่มีใครอยากจะคุยกับแกเอา” เจตพูดพร้อมหรี่ตามอง
“เฮ้อ.. แต่เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่เลยนะ คนที่อัญเชิญเรามาโกหกคำโตใส่เราหน้าตายแบบนี้เนี่ย ถ้าเราไม่บอกคนอื่นเรื่องนี้เดี๋ยวจะชิบหายกันหมดเลยนะ”

“มันถึงขั้นรู้ได้เลยเหรอว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกกับแกน่ะ” เจตถามด้วยความสงสัย
“จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอก มันจะเป็นอารมณ์ประมาณว่าจะทำให้ฉันรู้สึกถึงอันตรายหรือความผิดปกติจากคำพูดหรือกิริยาท่าทางของฝ่ายตรงข้าม”
“หมายความว่าไม่จำเป็นต้องโกหกใส่... แต่ว่าถ้ามีจิตมุ่งร้ายก็จะสัมผัสได้ว่างั้นเถอะ”
“คงจะอารมณ์ประมาณนั้นแหละ” ผมยักไหล่

“ถ้างั้นก็หมายความว่า.. มาลตันและเคดรอสไม่ประสงค์ดีกับเราอยู่” เจตพูดพร้อมหันมาจากสัมภาระของเขา นั่งเอาหลังไปพิงกับกำแพง
“อืม ก็แบบนั้นแหละ ไม่ควรปล่อยให้เพื่อนเขาเราไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต่อไปแบบนี้... ถึงแม้ฉันจะไม่ได้สนิทกับพวกนั้นเท่าไหร่ก็ตามที”
“ฉันก็เหมือนกับแกแหละน่า อย่ามาทำเป็นเก๊กหล่อไอ้เวร”

“ทำไมคำพูดมันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน”
“คิดไปเองน่า”
“แต่ก็นั่นแหละ คำพูดของแกน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดของฉัน แกเป็นถึงดีเจประจำห้องเชียวเลยนะเว้ย” ผมแซวเล่นแต่ก็อยากจะโยนหน้าที่เอาเรื่องปัญหาใหญ่โตไปให้เจตเป็นคนแจ้งเตือนเพื่อนร่วมห้อง
“ดีเจบ้าบอห่าอะไรล่ะ แม่งเอาลำโพงบลูธูทไปเปิดเพลงส้นตีนอะไรก็ไม่รู้ ดนตรีที่แท้จริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย บ้าบอ พูดแล้วก็หงุดหงิด เนี่ย ดูสิ ในประวัติการเล่นเพลงของแอปฉันเนี่ยแม่งตอนนี้เต็มไปด้วย...” เจตแสดงอาการฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด ให้ตายสิ พอพูดเรื่องนี้ทีไรต้องเป็นแบบนี้ทุกที

“เออ เจต”
“ยังออม เสพาล อะไรก็ไม่รู้.. ไร้สาระชิบหาย.. หา อ่าว ว่าไง ภูมิ”
“ฝากบอกเพื่อนด้วยนะ” ผมพลิกตัวแล้วสอดเข้าไปในผ้าห่มแล้วหลับตานอนลงทันที
“เฮ้ย..! เดี๋ยวสิ.. เออ ก็ได้ๆ แต่ถ้าจะให้น่าเชื่อถือฉันก็ต้องการแกมายืนอยู่ข้างๆคอยให้เป็นพยานหลักฐานด้วยล่ะ ไอ้เวร”

------------

“เรื่องราวมันก็ประมาณนี้แหละ ไอ้เจ้าภูมิมันบอกมา”

เมื่อพวกเราตื่นขึ้นมาก็อาบน้ำอาบท่าแล้วแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่ทางคนรับใช้ของวังเตรียมไว้ให้ เป็นชุดที่ทำจากลินินเสื้อแขนสั้นสีกรมท่า กระดุมกลัดสีทองอร่าม กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าบูทหนังสีดำ ทั้งหมดนี้เป็นรูปแบบพื้นฐานของชุดของผู้ชาย หลังจากที่แต่งตัวกันเสร็จทางเมดและพ่อบ้านของในวังนำอาหารเช้ามาให้พวกเราในรถเข็น อาหารเป็นขนมปังโทสต์ กาแฟ และชา 2 ชุด

หลังจากที่เรากินกันเสร็จแล้ว ผมและเจตก็เดินออกจากห้องไปรวมตัวกันที่สนามในวังตามที่ได้นัดหมายกันไว้ โดยตั้งแต่วันนี้จะเริ่มทำการฝึกซ้อมกันเพื่อพัฒนาความสามารถของเราให้แข็งแกร่งขึ้น

เมื่อพวกเรามาถึงสนามก็เจอกับเพื่อนเราที่มาถึงก่อนเวลานัดหมายไว้เล็กน้อยก่อนกว่าครึ่งชั่วโมงโดยประมาณเพื่อจะมาแจ้งข่าวสารให้กับเพื่อน เจตก็เดินไปเรียกเพื่อนฝูงทั้งหลายที่มาถึงแล้วให้มารวมตัวกันที่ตรงกลางของสนามก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่ผมประสบพบเจอให้เพื่อนได้ฟังซึ่งก็เรียกสีหน้าที่ประหลาดใจและตื่นตระหนกออกมาจากเพื่อนๆ ได้หลายคน

“จริงเหรอ ภูมิ” รินผู้ที่เป็นเอ่อ ‘อดีต’ หัวหน้าห้องเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนแต่ก็แฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อย ถึงแม้จะพูดว่าอดีตก็ตาม แต่เธอเองก็ยังเป็นที่พึ่งของใครต่อใครในห้องนี้อยู่เหมือนเดิม ไมได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
“ฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกเลยนะ” ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“ที่เธอรู้เป็นเพราะ... สกิลติดตัวของเธอเหรอ” รินถามต่อ
“อืม.. เป็นอารมณ์ประมาณว่า จะสัมผัสได้ถึงความอันตรายถ้ามีใครคิดร้ายต่อฉันล่ะนะ..” ผมอธิบายเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความสามารถของสกิลที่แท้จริง
“แล้วภูมิก็สัมผัสถึงความอันตรายจาก... คุณมาลตันใช่ไหม”
“ใช่” ผมพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้น.. พวกเราควรทำอย่างไรกันดีล่ะ” รินถอนหายใจก่อนเอ่ยขึ้น
“คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากต้องยอมมันไปก่อนแหละ เราสู้อะไรพวกนั้นไม่ได้หรอกนะ” ผมเริ่มแสดงความคิดเห็น
“อย่างน้อยๆ พวกนั้นก็ต้องการให้เราแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ.. จากเท่าที่ฉันสัมผัสได้นะ”
“ถ้าลองตีความจากสิ่งที่ภูมิพูดมา.. ก็พอจะเดาได้ว่าทางคุณมาลตันและคุณเคดรอสต้องการใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของเราในทางใดทางหนึ่งอย่างงั้นเหรอ” รินพูดขึ้นหลังจากนำมือมาจับคางเพื่อใช้ความคิด
“คงจะประมาณนั้...”

ปัง! ปัง!

ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังเกิดขึ้นใกล้ตัวกับกลุ่มของพวกเรามาก ในทีแรกผมก็นึกว่าเป็นเสียงของอาวุธปืน แต่ว่าพอนึกดูดีๆ แล้ว เสียงที่ได้ยินนี้เป็นเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมากและไม่เหมือนกับเสียงปืนด้วย แถมปืนเองก็ไม่ควรมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ก็ควรจะเป็นของ...

“นี่ กวน! เอาอีกแล้วนะ! เลิกปาประทัดสร้างเสียงดังได้แล้ว!”

รินหันไปดุใส่ด้วยน้ำเสียงที่มีน้ำโหพอสมควร เมื่อผมและคนอื่นๆ มองไปข้างหลังตามที่รินหันไป ก็พบกับความเป็นจริงที่ว่า เสียงทีเกิดขึ้นใกล้ๆ กับเราไม่ใช่เสียงปืน แต่เป็นเสียงของประทัดที่มาโดยชายคนหนึ่งที่ยืนยิ้มหัวเราะร่าอยู่อย่างไม่รู้สึกผิด เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาคมคาย ไว้ผมสีบลอนด์สว่างปรกหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องมาหาพวกเรา

ชายคนนี้ชื่อจริงว่า พิชา แซ่กวน ชื่อเล่นชื่อพีท แต่ไม่มีใครเรียกมันว่าพีทหรอก ส่วนใหญ่จะเรียกกันว่า ‘กวน’ เสียมากกว่า น่าจะเป็นเพราะนามสกุลของมันล่ะมั้ง แต่ก็มีอีกทฤษฎีนึงที่ว่าด้วยเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เรียกแบบนั้นก็เพราะมันเป็นคนขี้กวน กวนได้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ผมหมายถึงกวนตีนนะ อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นการกวนทำอาหาร ดักไว้ก่อน

เป็นเด็กชายเชื้อสายจีนที่คลุกคลีกับชาวจีนจริงๆ เป็นคนที่พูดเสียงดังและโหวกเหวกโวยวายยังไม่พอ ยังจะพกประทัดหรือระเบิดอะไรต่อมิอะไรมาโรงเรียน จุด แล้วก็ปาเล่นสร้างเสียงดังขึ้นมาอีก จนกลายเป็นที่ลือลั่นไปทั่วโรงเรียน

“ก็แหม.. เห็นดูทำน่าทำตาเครียดๆกัน ก็เลยไม่อยากให้เครียดกันไง!” กวนอธิบายด้วยรอยยิ้มและเสียงที่ดังเช่นเคย คือมันก็พูดปกตินะ แต่ถ้าเทียบความดังของเสียงกับคนอื่นๆ แล้ว เสียงของกวนดังกว่า
“ขอบใจนะ แต่ทีหลังไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้” รินยังคงหน้ามุ่ยต่อ
“ได้ยินว่าเราไม่ควรเชื่อใจไอ้พวกมาลตันนั่นสินะ วางใจได้เลย เดี๋ยวฉันไปช่วยกระจายข่าวให้”
“ฝากกลุ่มพวกเธอด้วยนะ กวน”

ถึงแม้จะเห็นแบบนี้ แต่ตัวของกวนเองก็ไม่ได้คิดร้ายต่อใคร ไม่มีมลทิน เพียงแต่จะติดเล่นไปเสียหน่อย จริงๆ เป็นคนหวังดีนะ อย่างเมื่อสักครู่นี้ก็พยายามสร้างบรรยากาศคลายความเครียด เพียงแต่วิธีการอาจจะพึลึกพิลั่นไปเสียหน่อย

“ก็อย่างที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้แหละ อย่าไปเชื่อใจพวกมันง่ายๆ แล้วก็ตื่นตัวไว้ตลอดเวลา ถ้ามีอะไรก็มาบอก มาเล่าสู่กันฟังนะ” ผมดึงบทสนทนาให้กลับมาเรื่องเดิม
“ในระหว่างนั้นก็... พยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นละกัน”

“แต่ไอ้ภูมิ” เจตที่ยืนอยู่ข้างๆผมเอ่ยปากขึ้น
“ว่าไง เจต”
“เราต้องทำยังไงถึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้ล่ะ”
“… ก็ต้องรอพวกมันมาอธิบายและฝึกฝนให้เรา แต่ฉันก็พอจะเดาได้อยู่นิดหน่อยว่าเราต้องทำอะไรกันบ้าง”

จากเท่าที่ลองสังเกตดูจากหน้าต่างสถานะของทั้งตัวเองและของเจตแล้ว ที่บริเวณค่าสถานะต่างๆทั้ง 5 ได้แต่ พละกำลัง (Strength) ความคล่องตัว (Dexterity) ร่างกาย (Vitality) เวทมนตร์ (Magic) และโชค (Luck) 4 สถานะนอกเหนือจากโชคล้วนแล้วแต่มีหลอดค่าประสบการณ์ห้อยถ้ายอยู่ หมายความว่ายิ่งเรากระทำในสิ่งที่ต้องอิงกับสถานะนั้นๆ มากเท่าไหร่ สถานะตัวนั้นก็จะได้รับค่าประสบการณ์และเติบโตยิ่งขึ้น ส่วนโชคนั้นถูกกำหนดมาแล้ว และจะไม่มีทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงผ่านค่าประสบการณ์

แต่ถ้าจะบอกว่าวิธีการทำให้แข็งแกร่งขึ้นมีเท่านี้ก็คงคิดว่าไม่น่าจะใช่ เท่าที่ดูแล้วน่าจะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เรายังไม่เห็นหรือยังไม่ทราบเข้ามาเสริมด้วย แต่ก็คงจะเป็นในรูปแบบทั่วไปของเกมอาร์พีจีล่ะมั้ง ไอเทมบ้าง สกิลเสริมบ้าง อื่นๆอีกบ้าง แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดา

ผมกับเพื่อนๆ ก็ได้นั่งคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องของโลกเก่าบ้าง โลกใหม่บ้าง เพื่อรอเวลานัดหมายมาถึง จนกระทั่งมีชายอัศวินในชุดเกราะหรือมาลตันและนักปราชญ์อาวุโสเคดรอสเดินตรงมาที่สวนในพระราชวังพร้อมกับบุคคลอื่นอีก 4 คน ทั้ง 4 คนสวมชุดเกราะเช่นเดียวกับมาลตัน น่าจะเป็นทหารองครักษ์ของเขา

“พวกเจ้าทุกคนมากันครบแล้วสินะ” มาลตันกวาดตามองมาทางพวกเรา ซึ่งทั้งหมดมีด้วยกันทั้งสิ้น 25 คน เป็นนักเรียน 24 คน และครูเดชที่เป็นครูที่ปรึกษาอีกคน
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเริ่มเลยแล้วกัน วันนี้จะเริ่มทำการแบ่งพวกเจ้าเป็นกลุ่มทั้งหมด 4 กลุ่ม เพื่อให้เหมาะสมแก่การฝึกฝนในแต่ละรูปแบบที่ต่างกันออกไป ได้แก่ กลุ่มกำลังกาย กลุ่มว่องไว กลุ่มนักเวท และกลุ่มอรรถประโยชน์”
“ชื่อของแต่ละกลุ่มก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอะไร ในส่วนของกลุ่มอรรถประโยชน์จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจและการพิจารณาของพวกเราว่าพวกเจ้าคนใดเหมาะสมกับกลุ่มนี้ โดยปกติแล้วบทบาทของคนในกลุ่มนี้จะไม่ใช่บทบาทของการต่อสู้ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดของกลุ่มนี้”

เห มาแบบนี้เหรอ คราวนี้ผมไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผิดปกติใดๆจากคำพูดครั้งนี้เลย แต่ก็ไม่แปลกหรอกมั้ง เพราะสิ่งที่มาลตันทำก็คือเพียงแค่อธิบายการแบ่งกลุ่ม แต่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้อีก เพราะเมื่อวานในขณะที่มาลตันเพียงแค่อธิบายถึงความรู้พื้นฐานของโลกใบนี้ ผมยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่โคตรจะเหม็นเลย

ถ้าให้ผมเดาล่ะก็ ผมก็คงจะอยู่ในกลุ่มอรรถประโยชน์ แต่ก็อาจจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักเวทก็เป็นได้เพราะด้วยค่าเวทมนตร์ที่ค่อนข้างสูงของผม

“โดยข้าจะใช้แผ่นศิลาจารึกมนตรานี้ในการแสดงหน้าต่างสถานะของพวกเจ้า หลังจากนั้นข้าและเคดรอสจะจัดสรรพวกเจ้าเอง” มาลตันชูแผ่นศิลาหินสีเทาขึ้นมา ดูเป็นแผ่นหินธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษกว่าแผ่นหินอื่นๆ เลย
“ผู้ที่ได้รับการจัดสรรเสร็จแล้ว ก็ไปรออยู่ใกล้กับอัศวินองครักษ์ของข้าทั้ง 4 คนที่ยืนประจำจุดรอพวกเจ้าอยู่”
“เข้าใจนะ มีใครมีคำถามอะไรหรือไม่ ถ้าไม่มีข้าจะได้เริ่มเลย”

แบบนี้เองสินะ.. หืม เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อนนะ

แสดงหน้าต่างสถานะของผมเหรอ

แสดงหน้าต่างสถานะ.. ก็จะแสดงสกิลติดตัวของผมด้วย

แล้วพวกมันก็จะเห็นสกิลติดตัวของผม...

ชิบหายแล้ว!

------------

รูป NPC

Spoiler:
CosmicTerror
CosmicTerror
Admin
Posts : 53
Join date : 2018-08-20
Age : 25
https://dwocity.forumotion.com

24 Over Empty Re: 24 Over

Mon Jun 24, 2019 9:20 pm
Chapter 3

เวลาก็กำลังผ่านไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผมกำลังหาวิธีเพื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผมในอีกไม่กี่นาที

ถ้าในเมื่อแผ่นศิลาที่มาลตันนำมาให้พวกเราถือมีคุณสมบัติในการแสดงหน้าต่างสถานะของผู้ถือได้ล่ะก็.. หมายความว่ามาลตันและเคดรอสก็จะเห็นถึงสกิลติดตัวของผมที่เป็นอันตรายต่อพวกมันสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกิล ซึ่งสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดของสกิลได้เหมือนกับหน้าต่างสถานะที่เราควบคุมด้วยความคิดของเราเอง

และถ้าพวกมันรู้ว่าผมสามารถจับโกหกได้ล่ะก็.. อันตราย อันตรายมากๆ โอกาสที่ผมจะเสียชีวิตมีสูงมาก ผมไม่คิดว่ามันจะปล่อยคนที่พร้อมจะทำลายแผนการของพวกมันไว้หน้าตาเฉยหรอก มันทั้งสองคนต้องทำอะไรสักอย่างกับผมอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดพวกมันก็คงไม่กล้าทำอะไรเพื่อนคนอื่นหรอก เพราะไม่งั้นมันคงไม่ลำบากถ่อสร้างวงเวทมนตร์เพื่ออัญเชิญพวกเราจากต่างโลกในฐานะผู้วิเศษมา แถมหนำซ้ำยังได้จำนวนผู้วิเศษมากขึ้นถึง 25 เท่า

แต่ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าผมจะมีชีวิตรอดต่อไป

ทำยังไงดีล่ะทีนี้.. หนีเหรอ แกล้งทำตัวว่าไปเข้าห้องน้ำแล้วก็หนีจากไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จริงๆ ก็เป็นทางเลือกที่ไม่แย่เพราะว่าผมก็ได้บอกให้เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ระวังและอย่าไว้ใจมาลตันและเคดรอสแล้ว ถือว่าผมก็ได้ทำหน้าที่ที่ควรทำไว้แล้ว เพื่อนๆ ก็น่าจะกระจายข้อมูลกันต่อไป ต้องหวังว่าพวกนั้นจะยืนหยัดและต่อกรกับพวกคนในวังได้

แต่ถ้าหากผมหนี ผมอาจจะเข้าข่ายกลายเป็นนักโทษหลบหนีและโดนตามล่าจากทั่วทุกหนแห่ง มีป้ายติดประกาศตามหาตัวพร้อมค่าหัว ชีวิตของผมก็กลายเป็นว่าต้องมาลำบากขึ้นกว่าเดิม

หรือไม่ก็.. อาจต้องทำให้ทางพระราชวังเป็นผู้ที่ไล่ผมออกมาเอง จะได้ไม่ต้องโดนหาว่าเป็นนักโทษหลบหนีหรือคนหนีคดี

นั่นอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

แต่ว่าไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ เหรอ

ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิดคำนึงถึงทางออกจากหนทางตันอยู่ ก็มีเสียงฮือฮาและเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาจากบริเวณที่ไม่ไกล หรือก็คือเสียงเกิดขึ้นจากบริเวณที่พวกเราจะต้องเดินไปรับแผ่นศิลาจากมือของมาลตันแล้วแสดงหน้าต่างสถานะให้พวกนั้นได้เห็น

ผู้ที่ยืนถือแผ่นศิลาอยู่คือเพื่อนนักเรียนร่วมห้องเดียวกับผม เป็นผู้ชายที่ไว้ผมสีดำตามรูปแบบปกติของคนไทย หน้าตาที่ธรรมดาพร้อมกับสีหน้าและแววตาที่เบื่อหน่ายและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ดวงตาของเขาเบิกโพลงเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มในชุดอัศวินอย่างมาลตันและชายแก่ในชุดคลุมสีน้ำตาลอย่างเคดรอสก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจไม่แพ้กัน เฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆที่เข้ามามุงดูหลังจากได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม

“เคดรอส.. นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน” มาลตันเอ่ยปากถามด้วยความฉงน
“กระผมเอง.. ก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ แต่จากที่ตัวกระผมได้สังเกตด้วยสายตาของกระผมแล้ว.. ดูเหมือนว่าสกิลติดตัวของเจ้าหนูนี่จะถูกผนึกไว้อยู่นะขอรับ” เคดรอสตอบกลับด้วยน้ำเสียงและคำพูดที่ดูสุภาพเกินกว่าชายแก่ทั่วๆไปมักจะใช้กัน
“สกิลติดตัวของเจ้านี่.. ถูกผนึกไว้อย่างงั้นเหรอ” มาลตันทวนคำพูดของเคดรอส
“ผนึก..”

เจ้าของสกิลติดตัวที่ถูกผนึกค่อยๆก้มหน้าลงมองหน้าต่างสถานะของตัวเองที่ฉายขึ้นมาบนแผ่นศิลานี้มีชื่อว่า สมพงษ์ หงส์สว่าน ชื่อเล่น.. อะไรสักอย่างผมเองก็จำไม่ได้ เพราะใครๆต่างก็มักจะเรียกเขาว่าสมพงษ์ ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน เป็นคนที่ค่อนข้างไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆและไม่ชอบสุงสิงกับใครด้วย สำหรับผมคือรู้สึกว่าเขาคือพวกต่อต้านสังคมชอบกล ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขานะ แต่เหมือนคนอื่นจะมีปัญหากับเขา หรือไม่ก็มันนั่นแหละที่มีปัญหากับคนอื่น

เพราะว่าในโรงเรียนมีข่าวลือที่ค่อนข้างไม่ดีเกี่ยวกับสมพงษ์เยอะพอสมควร

เอาเถอะ ยังไงเสียก็ไม่ใช่เรื่องของผมที่จะต้องเข้าไปถามมันตรงๆว่า ‘เห้ย ข่าวลือนี่เรื่องจริงเหรอ’ มันไม่ใช่เรื่อง ผมเองก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินคนจากเพียงแค่ข่าวลือหรือแค่บุคลิกรูปลักษณ์ภายนอกหรอกนะ แต่ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับสมพงษ์มา 2 ปีในห้องเรียนเดียวกันตั้งแต่ตอนม.4 ผมก็แทบไม่เห็นว่ามันจะไปคุยกับใครเลยนะ ไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว แต่ตอนงานกลุ่มก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ ถึงแม้มันจะเข้าข่ายเป็นคนสุดท้ายที่เพื่อนจะเอาเข้ากลุ่ม แต่ก็ไม่มีเรื่องหรือปัญหาเกิดขึ้นมาเลย เพื่อนในห้องผมก็น่าจะไม่ได้ติดใจอะไรกับสมพงษ์มาก แต่จะให้เข้าไปคุยด้วยไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนใหญ่เวลามีงานกลุ่มสมพงษ์ก็มักจะอยู่กลุ่มเดียวกับหัวหน้าห้องอย่างริน ก็เพราะว่าเธอเป็นหัวหน้าห้องไงล่ะ คนที่สมพงษ์น่าจะคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์บ่อยครั้งที่สุดก็น่าจะเป็นรินเองนี่แหละ

อย่างไรก็ตาม สายตาของผมก็จับจ้องไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าของผม เดิมทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมก็จะเดินเข้าไปเป็นไทยมุงเพื่อดูหน้าต่างสถานะของสมพงษ์ด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อผมก้าวไปได้สักสองสามก้าว ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า

ทำไมผมไม่ใช้สกิล ล่ะ

ผมก็เลยใช้สกิล แล้วมองทะลุกลุ่มฝูงเพื่อนของผมเข้าไปถึงแผ่นศิลาที่แสดงสถานะของสมพงษ์อยู่

Item: [Status - Appraisal Tablet]
Description: แผ่นศิลาที่มีคุณสมบัติสำหรับแสดงหน้าต่างสถานะของผู้ที่ใช้มือถือตัวแผ่นศิลานี้อยู่ ราวกับผู้ที่ถือศิลานี้ใช้คำสั่ง <สเตตัส> ด้วยตนเอง

Name: Sompong “Tan” Hongswarn
Strength: 10 (0/110 XP)
Dexterity: 10 (0/110 XP)
Vitality: 10 (0/110 XP)
Magic: 10 (0/110 XP)
Luck: 10 (-/- XP)
Innate Skills: - [LOCKED]
- [LOCKED]
- [Native Language Comprehension]

ชื่อเล่นชื่อแทนสินะ.. นึกออกละ แต่ผมไม่อยากจะพูดแบบนี้เลย แต่นี่มันรูปแบบสเตตัสของพระเอกในเรื่องราวแบบนี้ชัดๆเลย ค่าสถานะทุกอย่างอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยแสนธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ดันมีสกิลติดตัวทั้งสองสกิลที่ถูกล็อคหรือถูกผนึกไว้อยู่ พอถึงเวลาคับขันแบบใกล้ตายเมื่อไหร่ล่ะก็ พลังของพระเอกก็จะตื่นขึ้นมา นี่มันเป็นตัวละครแบบนี้เองเหรอ

แต่ดูเหมือนว่ามาลตันและเคดรอสจะไม่ได้ให้ความสนใจกับค่าสถานะที่สุดแสนจะธรรมดา ค่าสถานะที่อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยสำหรับมนุษย์วัยรุ่นบนโลกใบนี้ แต่ทั้งสองค่อนข้างให้ความสำคัญกับสกิลติดตัวที่ถูก ‘LOCKED’ ไว้เป็นอย่างมาก

ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าไหร่ เพราะในเมื่อมนุษย์ปกติบนโลกใบนี้จะมีสกิลติดตัวเพียงแค่หนึ่งสกิลเท่านั้น แตกต่างจากเราที่เป็น ‘ผู้วิเศษ’ ที่ถูกอัญเชิญมาจากต่างโลกที่มีสกิลติดตัวถึงสองสกิล และจากเท่าที่สังเกตดูแล้ว สกิลติดตัวน่าจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างทรงพลังพอสมควร ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนก็คือตัวผมนี่แหละ

“ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดีกับเจ้าหนูคนนี้ดีขอรับ” ชายอาวุโสเอ่ยปากถาม
“ฮึ่ม.. แบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้ มีแต่ต้องรอให้พลังของเจ้านี่ปลดผนึกขึ้นมาเท่านั้น..” มาลตันนำมือมาจับคางใช้ความคิดก่อนจะหันไปหาสมพงษ์
“เจ้า.. ชื่อ ‘แทน’ ใช่ไหม เดี๋ยวเจ้าจะไปอยู่ในกลุ่มอรรถประโยชน์ก่อนละกัน แล้วข้าจะปรึกษากับผู้ดูแลกลุ่มว่าจะทำอย่างไรให้พลังของเจ้าตื่นขึ้นมาได้”
“ครับ” สมพงษ์พยักหน้าหลังจากตอบรับสั้นๆ แล้วเดินตรงไปหาผู้ดูแลกลุ่มอรรถประโยชน์

ปรากฏว่าผู้คนบนโลกใบนี้มักจะเรียกชื่อของพวกเราด้วยชื่อเล่นของพวกเราเสียมากกว่าชื่อจริงหรือนามสกุลของพวกเรา ด้วยความที่ชื่อภาษาไทยได้รับการผสมผสานจากภาษาต่างประเทศมากมายโดยเฉพาะภาษาบาลีและสันสกฤต เมื่อชื่อประเภทนี้มาอยู่บนโลกใบนี้ คนพื้นเมืองก็ไม่อาจออกเสียงได้ดีนัก พวกเขาจึงตัดสินใจใช้ชื่อเล่นของเราที่ปรากฏในหน้าต่างสถานะเป็นเสมือนชื่อกลาง

พูดถึงเรื่องภาษาแล้ว ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่านอกเหนือจากสกิลติดตัวของเราทั้งสองสกิลแล้ว ยังมีอีกสกิลที่เพิ่มเข้ามาในส่วนของสกิลติดตัวด้วยซึ่งนั่นก็คือสกิล เป็นสกิลที่ช่วยให้เราเข้าใจภาษาที่ใช้กันในอาณาจักรเพเดรียเหมือนเป็นภาษาแม่ มีสถานะเหมือนกับภาษาไทยเลยก็ว่าได้ แต่ที่จริงแล้วก็เป็นภาษาพื้นฐานของมนุษย์บนโลกนี้อย่างทั่วไป

เมื่อเรื่องราวความประหลาดใจเริ่มเงียบลง ผมก็ละสายตาจากตรงหน้ามาเพื่อครุ่นคิดหาวิธีที่จะปิดบังสกิลติดตัวทั้งสองสกิลของผม หลังจากที่ได้เห็นสภาพสกิลติดตัวของสมพงษ์ก็ทำให้ผมฉุกคิดอะไรบางอย่าง

ถ้าหากผมสามารถ ‘ล็อค’ สกิลให้เหมือนกับสถานะของสมพงษ์ล่ะ

ถ้าทำแบบนั้นได้ผมก็จะสามารถยื้อเวลาที่จะต้องเปิดเผยสกิลได้ไปอีกสักพักหนึ่ง ผมอาจจะแสร้งให้สกิลผมกลายเป็นสกิลอื่นก็ได้ อย่างเช่นสกิล ที่มีคุณสมบัติในการมองเห็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จากเมื่อสักครู่นี้ผมก็พอจะคาดเดาได้ว่าผมน่าจะสามารถตรวจสอบคุณสมบัติของสิ่งของต่างๆได้ทุกอย่าง หลังจากที่ผมตรวจสอบว่าแผ่นศิลานี้คืออะไร หน้าต่างข้อมูลก็ขึ้นมาในสายตาของผม ถ้าผมสามารถบอกทั้งสองคนนั้นว่าสกิลนี้เป็นเพียงแค่สกิลตรวจสอบสิ่งของก็น่าจะดีกว่าเปิดเผยความสามารถทั้งหมดไป

แต่ปัญหามีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือผมต้องบอกความสามารถของสกิลให้พวกนั้นด้วยปากของผมเอง เพราะถ้าใช้แผ่นศิลา เหมือนเดินในการตรวจสอบสถานะ ความลับของผมก็จะถูกเปิดโปง ส่วนปัญหาอย่างที่สองก็คือ…

จะทำอย่างไรให้สถานะที่แสดงบนแผ่นศิลาแสดงสถานะของสกิลเป็น ‘LOCKED’ เหมือนกับสมพงษ์ ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ปัญหาแรกก็ไม่ต้องพูดถึง

“ฉันช่วยเธอได้นะภูมิ”

ห๊ะ.. อะไรนะ

ผมหันไปตามเสียงทักที่มาจากข้างหลังผมที่บอกว่าสามารถช่วยผมได้ ตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้ผมว่าผมก็คิดในใจนะ ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำไมถึงมีคนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่กันล่ะ อาการมันออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ

คนที่อยู่ตรงหน้าของผมเป็นเพื่อนร่วมห้องหญิง ผมสีน้ำตาลถักเปียยาวสไวถึงแผ่นหลัง แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมสีดำตัดกับนัยน์ตาสีแดงที่จับจ้องมายังตัวผม

“เมื่อกี๊.. ว่ายังไงนะไนท์”

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของผมชื่อไนท์ ชื่อจริงชื่อราตรี มนีวงศ์ ภายนอกแล้วเธอดูเป็นผู้หญิงที่ขี้อาย เก็บตัว และไม่ค่อยคุยกับใคร ชอบอ่านหนังสือ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กเรียน แต่จากที่ผมสังเกตมาในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่พวกผมอยู่ห้องเดียวกัน จริงๆแล้วตัวไนท์ก็แค่ไม่ใช่คนที่ชอบเปิดหรือริเริ่มการสนทนาก็เท่านั้น นั่นหมายความว่าการกระทำครั้งนี้ของไนท์ถือว่าผิดแปลกไปจากทุกที

ยังไม่รวมถึงการที่เธอสามารถคาดเดาความคิดของผมเมื่อสักครู่นี้ได้

“จากที่ได้ยินมาเมื่อเช้า เธอคงไม่อยากให้พวกเขาทั้งสองคนรู้ว่าสกิลติดตัวของเธอคืออะไรสินะ” ไนท์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อืม มันก็ใช่อยู่หรอก.. แต่เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังกังวลกับเรื่องนี้อยู่”
“แค่ดูท่าทางก็พอรู้อยู่นะ จับคางครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น”
“….นี่ฉันแสดงออกมาขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แล้ว.. เธอจะช่วยฉันยังไงล่ะ” ผมถาม
“ด้วยสกิลติดตัวของฉันที่ชื่อว่า ด้วยผลของสกิลจะทำให้สิ่งของหรือไอเทมใดที่ฉันเลือกทำงานผิดปกติตามที่ฉันต้องการได้”
“ดังนั้นฉันจะให้แผ่นศิลาแสดงสถานะของสกิลติดตัวภูมิให้อยู่ในสภาพเดียวกันกับของสมพงษ์.. สกิลติดตัวที่ถูก ‘LOCKED’ ไว้อยู่”
“ถ้าทำแบบนี้ก็คงจะพอซื้อเวลาให้เธอสามารถหาทางแก้ปัญหานี้ได้นะ” ไนท์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ

“เห.. เป็นสิ่งที่ฉันต้องการตอนนี้เลยล่ะ ถ้าเธอไม่มาหาฉันล่ะก็ ฉันก็คงอาจจะวิ่งหนีหายไปใช้ชีวิตอยู่นอกรั้วพระราชวังอยู่คนเดียวแล้ว”
“ถึงแม้ฉันจะคิดว่าคนอย่างภูมิไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกถ้าทำแบบนั้นจริงๆ..”
“นี่ไนท์.. พูดว่าอะไรนะ”
“นั่นคำชมนะ ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
“ขอบคุณ.. หมายถึงขอบคุณเรื่องสกิล นะ”

ว่าแล้ว.. ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความขี้สงสัยของผม ผมจึงเปิดใช้สกิล เพื่อตรวจสอบสถานะของไนท์

ผมรู้น่าว่าเอาจริงๆแล้วการกระทำแบบนี้มันเหมือนกับการลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของฝ่ายตรงข้าม เพราะผมเองรู้สึกแบบนั้น.. แต่ถ้าเป็นคุณมีพลังแบบนี้ คุณเองก็ต้องอยากใช้เหมือนกันแหละน่า

Name: Ratree “Night” Maneewong
Strength: 20 (0/140 XP)
Dexterity: 40 (0/410 XP)
Vitality: 18 (0/110 XP)
Magic: 12 (0/130 XP)
Luck: 24 (-/- XP)
Innate Skills: - [Item Malfunction]
- [Invisibility]
- [Native Language Comprehension]

Innate Skill: [Item Malfunction]
Description: คุณสามารถเลือกไอเทมเป้าหมายที่อยู่ในระยะสายตาของคุณเกิดการทำงานที่ผิดปกติ ซึ่งความผิดปกตินั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งาน

แบบนี้เองสินะ.. เป็นสกิลที่ทำให้เกิดความผิดปกติตามที่ผู้ใช้งานต้องการได้เสียด้วย.. หมายความว่าการกระทำแบบที่เราว่ากันเมื่อสักครู่จะไม่ใช่ปัญหาเลย

แต่ว่าไปแล้ว ตัวไนท์นี่เป็นสายคล่องแคล่วว่องไวงั้นเหรอ เห.. น่าสนใจแฮะ

“แต่ฉันก็ไม่เคยใช้มาก่อนเหมือนกันนะ เพราะก็ใช่ว่าจะมีโอกาสได้ใช้งาน..” ไนท์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“ไม่ได้ลองใช้กับของพื้นๆมาก่อนเหรอ”
“พอดีว่า... มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆนะ” ไนท์หลบตาผม
“เรื่องอะไรเหร... โอเค เข้าใจละ มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก...” ผมพยักหน้าแสดงความเห็นใจ

ไนท์คงจะพูดถึงเรื่องของเหตุการณ์ที่พวกเราถูกอัญเชิญมายังต่างโลกโดยไม่ได้มีการถามความยินยอมแต่อย่างใดเลยแม้แต่คำเดียว แถมยังต้องมาถูกชักชวนแกมบังคับ.. ไม่สิ มันบังคับเลยมากกว่าให้ฝึกฝนตัวเอง ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเพื่อต่อกรและหาทางกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเราเอง

ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ยุติธรรมเลย

“จริงๆ ฉันแปลกใจพอสมควรอยู่นะที่เราหลายคนสามารถยอมรับกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ฉันคิดว่าเพื่อนของเราจะซึมไปมากกว่านี้เสียอีก” ผมพูดขึ้นพร้อมเหลือบมองท้องฟ้าที่บริสุทธิ์และแจ่มใส แสงแดดสาดส่องให้ความอบอุ่นมายังสวนในพระราชวัง
“คงเป็นเพราะว่าพวกเรายังคงเป็นวัยรุ่นอยู่ละมั้ง เลยสามารถยอมรับเรื่องพรรค์นี้ได้โดยง่าย” ผมเสริมต่อ
“คงงั้นแหละ” ไนท์ตอบกลับมาเบาๆ

ระหว่างนั้นการตรวจสอบสถานะของพวกเราก็ยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งมาถึงคราวของผม

“อึก.. โอเค ฉัน.. ใช้สกิลกับแผ่นศิลาแผ่นนั้นละ..” ไนท์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“เอ๋ ขอบใจนะ แต่ว่า.. เธอเป็นอะไรรึเปล่า หน้าตาดูซีดเชียว”
“น่าจะเป็นผลของการที่ใช้สกิลนั่นแหละ.. รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงอยู่ดีๆก็หายไปอ่ะ” สภาพร่างกายของไนท์เริ่มอ่อนระทวย มีท่าเหมือนจะล้มลงแต่ก็ยังทรงตัวได้
“สกิลเหรอ.. ฉันว่าฉันก็ใช้ค่อนข้างบ่อยอยู่พอสมควรนะ.. น่าจะเป็นเพราะค่า ของฉันที่มีเยอะมากๆเมื่อเทียบกับคนปกติแหงเลย” พูดเสร็จ ผมจึงไปช่วยพยุงตัวเธอไว้
“น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ ขอบใจนะ.. ดูเหมือนว่ายิ่งกำหนดข้อจำกัดให้กับสกิลมากเท่าไหร่ จะยิ่งใช้พลังมากเท่านั้น”

แสดงว่าจากเท่าที่ผมสังเกตเห็นมา สกิลติดตัวจะค่อนข้างอิงผลจากค่าในสถานะ ยิ่งสถานะ สูงมากเท่าไรก็จะสามารถใช้งานสกิลได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะผมเองก็ใช้สกิล มาโดยตลอดก็ไม่เห็นจะมีปัญหาเหมือนกับไนท์ ที่ใช้สกิลเพียงแค่ครั้งเดียวก็เริ่มอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงการกำหนดข้อจำกัดของสกิลอีกด้วยที่กินแรงไนท์ไปเยอะพอสมควร

บนโลกใบนี้คงมีคอนเซปต์ที่เรียกว่า ‘มานา’ อยู่แหละ แต่เพียงแค่เรามองไม่เห็น.. เอ๊ะ แล้วแบบนั้นผมจะเห็น ‘มานา’ ที่ว่าไหม

เดี๋ยวค่อยลองทดสอบดูดีกว่า ตอนนี้ต้องไปให้มาลตันตรวจดูสเตตัสของผมก่อน หวังว่าสกิลของไนท์จะทำงานนะ..
Sponsored content

24 Over Empty Re: 24 Over

Back to top
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum