DWO City
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Go down
CosmicTerror
CosmicTerror
Admin
Posts : 53
Join date : 2018-08-20
Age : 25
https://dwocity.forumotion.com

The Evocation Empty The Evocation

Wed Aug 29, 2018 7:33 pm
Prologue

เวทมนตร์เคยเป็นสิ่งแค่ใครหลายๆคนวาดฝันไว้


หลายๆคนต่างใคร่ครวญเพราะว่าเวทมนตร์เป็นสิ่งที่มีเพียงแค่ในนิยาย ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง


แต่ถ้าหากความสามารถในการใช้เวทมนตร์แท้จริงแล้วกลับเคยเป็นความสามารถโดยพื้นฐานของมนุษย์ในอดีตกาล เวทมนตร์เคยเป็นหนึ่งในความสามารถของมนุษย์


ด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตาม มนุษย์กลับสูญเสียความสามารถนั้นไปในช่วงระเวลาในอดีตจนจวบปัจจุบัน


แต่มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีขีดจำกัด ต่อให้มีพวกเขาก็สามารถเอาชนะขีดจำกัดที่ว่าได้ด้วยพละกำลังและมันสมองของพวกเขา


เมื่อมนุษย์นำความสามารถในการใช้เวทมนตร์กลับคืนมาได้ แต่หาได้ปราศจากตัวกลางช่วยเหลือแต่อย่างใด


เมื่อมนุษย์ใช้ ‘การ์ด’ เป็นสื่อกลางในการร่ายเวทมนตร์


ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป โลกใบนี้ไม่ใช่โลกใบเดิมที่เราเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว



.

.

.

.

.

.




“เวทมนตร์สำหรับฉันน่ะ.. มันคือพลังต้องสาป”


“เมื่อคุณเกิดมาเป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ ผู้ถูกเลือกที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เส้นทางอนาคตของคุณก็ถูกปิดกั้นไปแล้ว”


“เหลือไว้เพียงแต่ถนนหนทางสู่อนาคตที่ถูกสร้างรอไว้ให้ รอให้ฉันและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆเดินไปตามทาง”


“แถมถนนนั้นยังไม่ได้ถูกสร้างมาอย่างดี มีหลุม มีรอยแยก มีรอยตะปุ่มตะป่ำ กว่าจะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางก็ลำบาก”


“ทั้งสองข้างทางยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ยืนมองการเดินทางของฉัน สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่แฝงไปด้วยความกดดันมหาศาล”


“ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น ฉันเพียงแค่ต้องการอนาคตที่สงบสุข ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายก็เท่านั้น”


“ไอ้พวกที่ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกจะไปรู้ถึงความลำบากของฉันได้อย่างไร ก็เหมือนกับพวกฉันที่ไม่รู้ว่าพวกแกต้องเจออะไรบ้างกับการที่เป็นคนไม่ถูกเลือก”


“ในยุคสมัยนี้ที่ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่เกิดมา อนาคตของพวกเราที่ถูกกำหนดตั้งแต่เวลาที่เราได้หายใจเป็นครั้งแรก”


“ผู้ถูกเลือกและผู้ไม่ถูกเลือก อนาคตของคนทั้งสองประเภทถูกกำหนดให้ไม่มีทางมาบรรจบกัน”


“ฉันอยากจะหยุดมัน ฉันอยากที่จะทำลายมัน”


“ด้วยพลังต้องสาปของฉัน เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่ฉันมี”

CosmicTerror
CosmicTerror
Admin
Posts : 53
Join date : 2018-08-20
Age : 25
https://dwocity.forumotion.com

The Evocation Empty Re: The Evocation

Thu Sep 06, 2018 9:00 pm
Table of Contents

Volume 1 - Mysterious Semester Arc

Episode 1




Last edited by CosmicTerror on Thu Sep 06, 2018 9:21 pm; edited 3 times in total
CosmicTerror
CosmicTerror
Admin
Posts : 53
Join date : 2018-08-20
Age : 25
https://dwocity.forumotion.com

The Evocation Empty Re: The Evocation

Thu Sep 06, 2018 9:01 pm
Episode 1 - First Date

โรงเรียนมัธยมปลายเอกโกศลมนตร์ หรือโรงเรียนเอกโกศลมนตร์ คือโรงเรียนมัธยมปลายสำหรับฝึกสอนเมจิกยูสเซอร์อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เป็นโรงเรียนลำดับที่ 1 หรือก่อตั้งเป็นโรงเรียนเวทมนตร์สาขาแรกในประเทศไทย ในเมืองหลวงของประเทศอย่างกรุงเทพมหานคร นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่เหล่าวัยรุ่นจะต้องเข้ารับการศึกษาเพื่อเป็นเมจิกยูสเซอร์ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่ไม่ได้หมายความว่าวัยรุ่นทุกคนจะเป็นเมจิกยูสเซอร์ได้ เส้นทางของเด็กๆเหล่านี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เวลาที่พวกเขาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก

มนุษย์เพียงจำนวนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่ถูกเลือกให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เมื่อเทียบอัตราส่วนต่อคนทั้งโลกจะได้เป็น 1 ต่อ 8000 คน ในสมองส่วนซีรีบรัมของมนุษย์กลุ่มนี้จะมีส่วนที่เรียกขานกันว่า ‘ระบบประสาทส่วนสัมผัสอนุภาคเวทมนตร์’ (Magic Essence Sensory Nerve System) พวกเขาสามารถนำอนุภาคเวทมนตร์ (Magic Essence) มาผ่านกระบวนการทางระบบประสาทส่วนดังกล่าวและสามารถใช้เวทมนตร์ตามลำดับและรูปแบบของอนุภาคเวทมนตร์ออกมาได้

ทั้งนี้อนุภาคเวทมนตร์ทั้งหมดบนโลกนั้นต่างถูกบรรจุอยู่ในเมจิกการ์ดต้นฉบับ (Original Magic Card) ที่มีรูปลักษณ์และวัสดุไม่ต่างอะไรจากบัตรชนิดต่างๆของยุคปัจจุบัน ซึ่งเมจิกการ์ดต้นฉบับนั้นถูกค้นพบในชั้นหินเดียวกันกับชั้นที่ขุดเจอฟอสซิล ซึ่งคาดการณ์ว่าเมจิกการ์ดต้นฉบับมีอายุมากกว่าหลายร้อยพันปีแต่กลับไร้ซึ่งร่องรอยความเก่าแก่เลยแม้แต่น้อย เมจิกการ์ดต้นฉบับถูกค้นพบทั่วทุกมุมโลกสรุปจำนวนทั้งสิ้น 11 ใบ นับแต่นั้นเป็นต้นมา มนุษย์เริ่มสามารถใช้เวทมนตร์ได้จากการ์ดผลิตเมจิกการ์ดโดยยึดจากต้นฉบับเป็นจำนวนมาก จนก่อให้เกิดสงครามขยายอาณาเขตอำนาจ (The Great Territorial Expanding War) ที่มีระยะเวลาทั้งสิ้น 5 ปี นักประวัติศาสตร์บางคนเปรียบเทียบสงครามครั้งนี้ว่าเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 (World War III)

บัดนี้จำนวนประเทศที่เหลืออยู่ในโลกยุคปัจจุบัน ปีค.ศ. 2068 เหลือเพียงแค่ 11 ประเทศเท่านั้น เท่ากับจำนวนเมจิกการ์ดต้นฉบับ และประเทศไทยเองก็เป็น 1 ใน 11 ประเทศที่เหลืออยู่ ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองของโลกที่ดูภายนอกเหมือนจะสงบสุข แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าแต่ละประเทศกำลังทำอะไรอยู่กับพลังเหนือธรรมชาติที่มนุษย์ครอบครอง ‘เวทมนตร์’

---------

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2068

วันแรกของการเปิดภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษาที่ 2068 ภายในโรงเรียนเอกโกศลมนตร์เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ครึกครื้นของนักเรียนปี 1 ที่ได้ย่างเท้าก้าวเข้ามาในรั้วโรงเรียนสำหรับฝึกฝนการใช้เวทมนตร์เป็นครั้งแรก นักเรียนไทยในชุดเครื่องแบบฉบับของนักเรียนมัธยมส่วนใหญ่ในสมัยก่อน เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวที่จะผิดแปลกกันแต่ละโรงเรียนคือสีของกางเกงและกระโปรง สำหรับโรงเรียนเอกโกศลมนตร์แล้ว สีกางเกงและกระโปรงของนักเรียนคือสีกากี

แต่จุดเด่นนอกจากชุดเครื่องแบบนักเรียนตามปกติแล้ว ที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยคือเสื้อกั๊กสีดำทำจากผ้าอย่างดีที่นักเรียนทุกคนต่างสวมทับเสื้อเชิ้ตไว้ เผยช่องว่างให้เสื้อเชิ้ตได้แสดงออกมาบริเวณหน้าอกตรงกลางและปลายแขนทั้งสองข้าง บนเสื้อกั๊กสีดำที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายมีตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนซึ่งประกอบด้วยรูปเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นเหนือกองฟืนขนาดเล็ก พร้อมกับตัวอักษรย่อ ‘อ.ก.ม.’ ปักอยู่ใต้ตราประจำโรงเรียนอีกที มีกระเป๋าเสื้อกั๊ก 2 ข้างอยู่ด้านหน้าบริเวณช่วงเอวของผู้สวม แถบสีกากีปักทอดยาวอยู่เหนือปลายเสื้อกั๊กแต่ต่ำกว่าบริเวณของกระเป๋า

นักเรียนค่อยๆทยอยกันเดินเข้ามาผ่านประตูรั้วโรงเรียนเหล็ก ซึ่งส่วนใหญ่ต่างก็เป็นนักเรียนปี 1 ในขณะนั้นเองนักเรียนอีกจำนวนหนึ่งก็เดินออกมาประปรายจากอาคารสีน้ำตาลขนาดใหญ่เสมือนกับคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกของโรงเรียน อาคารดังกล่าวคือหอพักในของนักเรียน มักจะเป็นนักเรียนที่เดินทางมารับการศึกษาจากต่างจังหวัดที่พักกันหรือเป็นนักเรียนจำพวกที่อยากจะเริ่มใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ด้วยความที่เป็นของทางโรงเรียน ค่าเช่าหอพักในจึงค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับหอพักด้านนอก และปัจจัยต่างๆสำหรับการดำรงชีวิตก็ถือว่าอยู่ในระดับอยู่สบาย

เหล่านักเรียนต่างมุ่งหน้าไปยังอาคารหลักที่มีรูปทรงเป็นเหมือนเกือกม้า มีความทันสมัยและให้กลิ่นอายโมเดิร์นจากสีโทนขาวสว่าง หลังคาแบนราบไม่เป็นทรงตั้งขึ้น ไม่ค่อยมีการตกแต่งภายนอกมากนักนอกเสียจากเสาสีดำที่ตั้งฉากกับพื้นและส่วนหลังคาที่ยื่นออกมา กระจกสะท้อนแสงจากแสงอาทิตย์ทำให้กระจกมีสีฟ้าสดใส เหมือนกับกำลังต้อนรับภาคการศึกษาใหม่ประจำปีนี้ บริเวณทางเดินนั้นทำจากคอนกรีตสีขาวโดยส่วนช่องว่างของทางเดินก็มีหญ้าปูรองรับให้มีธรรมชาติผสมผสาน

“นั่นมันการ์ดรีดเดอร์ไม่ใช่เหรอ”
“อะไรกันน่ะ ยังใช้เวทมนตร์เองไม่ได้เลยนี่หว่า”

สายตาของนักเรียนหลายๆคนแทนที่จะจับจ้องไปที่อาคารหลักที่พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตศึกษาเวทมนตร์เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปีกลับมาจดจ้องไปยังนักเรียนชายคนหนึ่งที่สวมชุดเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนเอกโกศลมนตร์เฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปจากเขาคือสิ่งที่เหมือนกับปลอกแขนที่ทำจากวัสดุโลหะสวมอยู่ทีบริเวณข้อมือ เครื่องที่อยู่บนปลอกแขนนั้นมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหน้าจอ 2 จอ หน้าจอแรกมีสีแดงอ่อนๆผุดออกมาจากจอแสดงผล ส่วนอีกจอเป็นเหมือนแป้นพิมพ์แบบทัชสกรีน

สิ่งประดิษฐ์ชนิดนี้เคยเป็นที่นิยมกันในหมู่เมจิกยูสเซอร์สมัยก่อน รู้จักกันในนามว่า ‘การ์ดรีดเดอร์’ (Card Reader) เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับความสามารถของเมจิกยูสเซอร์ในสมัยก่อน สมัยครั้งที่มนุษย์มีระบบประสาทส่วนสัมผัสอนุภาคเวทมนตร์ที่ยังอ่อนแอและมีขนาดเล็กมาก ทำให้มนุษย์ไม่สามารถใช้เวทมนตร์จากการ์ดได้เลย การ์ดรีดเดอร์จึงเป็นตัวกลางที่ช่วยทำให้เมจิกยูสเซอร์ในอดีจใช้งานเวทมนตร์จากการ์ดได้ โดยจะนำเมจิกการ์ดมาให้เซนเซอร์ของการ์ดรีดเดอร์อ่านแล้วทำการบีบข้อมือเพื่อกระตุ้นเส้นเลือดกลับไปยังสมองให้ใช้งานเวทมนตร์ที่มีรูปแบบเดียวกันกับที่ส่งสัญญาณไปยังสมองได้

แน่นอนว่าการ์ดรีดเดอร์ย่อมเป็นที่นิยมในอดีตเมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เมจิกยูสเซอร์ทุกคนจำเป็นต้องมี แต่ในระยะเวลาต่อมาหลังจากที่มนุษย์เริ่มมีการฝึกฝนและใช้เวทมนตร์เป็นจำนวนมากขึ้น ทำให้ระบบประสาทดังกล่าวเริ่มมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนทำให้เมจิกยูสเซอร์สามารถใช้งานเวทมนตร์ผ่านทางการ์ดได้โดยปราศจากตัวกลาง ยิ่งในยุคหลังๆ เมจิกยูสเซอร์มักจะนิยมแต่งงานกันเองเพื่อสร้างเด็กรุ่นต่อไปให้มีระบบประสาทส่วนสัมผัสอนุภาคเวทมนตร์ที่แกร่งกล้าที่สุด ความสามารถนี้ก็ถูกส่งต่อมาทางพันธุกรรมทำให้ประชากรของเมจิกยูสเซอร์ส่วนใหญ่สามารถใช้เวทมนตร์ผ่านการ์ดได้เลย

สำหรับในกรณีที่เมจิกยูสเซอร์ยังคงมีระบบประสาทส่วนสัมผัสอนุภาคเวทมนตร์ที่อ่อนแอหรือว่าทำงานผิดปกติก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องพึ่งเครื่องมือที่ตกยุคสมัยไปแล้วอย่างการ์ดรีดเดอร์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถฝึกฝนให้ใช้งานเวทมนตร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องจักร แต่มันก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร ทำให้การ์ดรีดเดอร์ตอนนี้มีราคาที่ถูกลงมาก และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมจิกยูสเซอร์ระดับล่าง เมจิกยูสเซอร์ที่ไม่สามารถใช้งานเวทมนตร์ได้โดยปราศจากเครื่องจักรกระตุ้น

ซึ่งนักเรียนชายคนนี้ที่ก้าวเท้าเดินอยู่บริเวณหน้าตึกก็เป็น 1 ในกรณีข้างต้น ชายที่มีผมสั้นสีน้ำตาลแกมเหลืองอ่อนๆ คิ้วเข้มและดวงตาสีเฉกเช่นเดียวกับสีผม พร้อมกับจมูกที่โด่งเป็นคมสัน – ธรารักษ์ จุติโอรส หรือธร นักเรียนปี 1 ในปีการศึกษา 2068 ที่สอบผ่านเข้ามาในโรงเรียนเอกโกศลมนตร์ซึ่งเป็นโรงเรียนเวทมนตร์สาขาที่ 1 ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย‘เล็กน้อย’

แต่ธรหาได้สนใจฟังคำดูถูกดูแคลนจากคนรอบข้าง อาจเป็นเพราะความเคยชินจากการโดนดูถูกดูแคลนหรืออาจเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจอยู่ก่อนแล้ว ชายผมสั้นสีน้ำตาลที่สวมเครื่องมือแบนราบไว้ที่ข้อมือด้านซ้ายเดินตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องก่อนที่เขาจะก้าวเข้าตัวอาคารหลักไปท่ามกลางสายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องมายังตัวเขา

----------

“ใช่เหรอวะ มันมาถูกห้องจริงๆรึเปล่า”
“คนที่ต้องพึ่งการ์ดรีดเดอร์แต่ได้มาอยู่ถึงห้อง 1-4 เลยเนี่ยนะ”
“ต่อให้เก่งทฤษฎีแค่ไหนแต่ถ้าใช้งานเวทมนตร์จริงๆไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์”

ไม้เว้นแม้แต่ในห้องเรียนของเขาเองที่ธรจะต้องเจอกับคำดูถูกดูแคลนจากนักเรียนคนอื่นๆ คราวนี้ก็ต้องเจอกับคำดูถูกของเพื่อนในห้องเรียนเอง สายตาของนักเรียนคนอื่นๆจับจ้องมายังที่ตัวของเขาก่อนจะเริ่มขยับปากซุบซิบนินทา เผยคำดูถูกออกมาจากปาก ธรเองได้เข้ามาอยู่ในห้อง 1-4 ซึ่งเหมือนเช่นเคยว่านักเรียนแต่ละห้องจะถูกจัดตามคะแนนสอบของทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติรวมกัน ซึ่งในแต่ละชั้นมีทั้งหมด 6 ห้อง เริ่มตั้งแต่ห้อง 1 จนถึงห้อง 6 นั่นหมายความว่าธรอยู่ในระดับกลางๆเหนือกว่านักเรียนอีกจำนวน 50 คนจากการที่ห้อง 1 ห้องมีจำนวนนักเรียน 25 คน ก่อให้เกิดความสงสัยจากคนอื่นๆว่าคนที่ยังต้องพึ่งตัวกลางในการร่ายเวทมนตร์จะได้คะแนนสูงกว่าปกติได้อย่างไร

เหมือนเช่นเคยที่ธรไม่ได้สนใจคำดูถูกดูแคลนใดๆก่อนที่จะเดินตรงไปหาที่นั่งประจำโต๊ะในห้องเรียนที่ยังคงว่างอยู่ เขาจึงเลือกที่นั่งแถวหลังสุดของห้อง อยู่ติดกับที่นั่งริมหน้าต่างมา 1 แถวเพื่อเป็นการปัดรังควาญและปัดปัญหาที่จะพุ่งมายังตัวของเขา ภายในห้องเรียนนั้นเป็นห้องเรียนที่โต๊ะแต่ละตัวมีคอมพิวเตอร์ประจำตัว พร้อมๆกับกระดานสีขาวที่อยู่เบื้องหน้าของโต๊ะสำหรับนักเรียน ด้วยเหตุนี้นักเรียนยุคปัจจุบันจึงไม่จำเป็นจะต้องนำกระเป๋าสะพายแบกอะไรหนักๆมาเรียนอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่ประเทศไทยพัฒนาเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

“โย่! นายน่ะชื่ออะไรเหรอ”

เพียงไม่นานหลังจากที่ธรทิ้งตัวลงที่เก้าอี้เบาะหนังและใช้นิ้วชี้กดปุ่มที่อยู่ด้านขวาของโต๊ะ แท่นที่วางคอมพิวเตอร์อยู่บนโต๊ะนั้นค่อยๆเคลื่อนกลับลงไปที่ข้างล่างซึ่งถูกทำมาเพื่อให้สามารถเปิดใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ยามต้องการและเปลี่ยนไปเป็นโต๊ะเอนกประสงค์ได้ตามที่ต้องการเช่นเดียวกัน ธรหันหน้าไปทางซ้ายมือ ทางต้นเสียงที่เรียกหาเขาเมื่อสักครู่นี้ ชายผู้เป็นเจ้าของผมหยักศกสีส้มเข้มแกมสีแดงผิดกับนัยน์ตาสีฟ้าสดใส ใบหูที่กว้างและหน้าตาดูทะเล้น ทำให้ชายคนนี้ให้อารมณ์เป็นคนแจ่มใสตลอดเวลา

“…” ธรยังคงไม่เอ่ยปากถึงแม้ว่าจะถูกถามชื่อก่อน เหมือนว่าเขายังคงไตร่ตรองคิดอยู่ว่าชายคนที่ทักเขาก่อนต้องการอะไร เนื่องจากคำพูดที่เขาได้ยินถึงเขามีแต่คำดูถูกทั้งนั้น
“ฉันไม่ได้จะมาดูถูกนายหรอกนะ ฉันเองก็ไม่ชอบการกระทำขยะๆแบบนั้นเหมือนกันล่ะน่า” ชายผมสีส้มสะบัดมือไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ไม่ชอบการดูถูกคนอื่น
“งั้นเดี๋ยวฉันแนะนำตัวก่อนละกั๋น ฉันชื้อภราดร เพียงบุญ หรือเรียกสั้นๆว่ากอล์ฟ มาจากชนบทหน้อยนึง” นักเรียนชายแนะนำตัวพร้อมๆกับแสดงสำเนียงของถิ่นบ้านเกิดให้ธรได้ยิน
“ธรารักษ์ จุติโอรส ชื่อเล่นธร ยินดีที่ได้รู้จัก” หลังจากที่ธรทราบว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆจึงแนะนำตัวกลับก่อนเผยรอยยิ้มน้อยๆ

“โอ้ ท่างนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ ธร” กอล์ฟชูมือพร้อมกับยิ้มรับตอบ
“จะว่าไปแล้วที่บอกว่ามาจากชนบทเนี่ย จังหวัดไหนเหรอ”
“ร้อยเอ็ดน่ะ ร้อยเอ็ด แต่มีช่วงนึ่งต้องไปอยู่สุพรรณเลยได้สำเนียงเหน่อม่าด้วย” กอล์ฟกอดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ร้อยเอ็ด.. แต่ทำไมถึงถ่อมาเรียนถึงกรุงเทพฯเลยล่ะ ที่ขอนแก่นก็มีโรงเรียนเวทมนตร์อีกสาขานะ” ธรเอียงคอถาม
“ใครๆก็รู้ว่าโรงเรียนเอกโกศลมนตร์ที่กรุงเทพเป้นอันดับที่ 1 ของโรงเรียนเวทมนตร์ทุกสาขาใน่ไทยนะ ใครๆก็อยากมาเรี่ยนที่นี่ทั้งนั้นแหละ ถึงแม้ว่าโรงเรียนจตุรพาอาคมที่เป็นสาขาที่ 4 จะได้อันดับที่ 2 ของการแข่งขันเวทมนตร์ระหว่างโรงเรียนเมื่อปีที่แล้วก็เถอะ”

โรงเรียนจตุรพาอาคมเป็นโรงเรียนเวทมนตร์ลำดับที่ 4 ที่ก่อตั้งขึ้นในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งโรงเรียนเวทมนตร์ในประเทศไทยมีทั้งหมด 6 สาขา ก่อตั้งตามแต่ละภาคของประเทศไทยที่มี 6 ภาค และในทุกๆปีจะมีการแข่งขันเวทมนตร์ระหว่างโรงเรียน หรือในอดีตผู้คนภายนอกมักจะขนานนามการแข่งขันเวทมนตร์เหล่านี้ว่า “การแข่งขันของฉกษัตริย์” (Six Kings Competition) จนกลายเป็นคำพูดติดปากและกลายเป็นชื่อทางการของการแข่งขันไปโดยปริยาย โดยปกติการแข่งขันของฉกษัตริย์จะจัดขึ้นในเดือนกันยายนของทุกๆปี ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาโรงเรียนจตุรพาอาคมที่ตั้งอยู่ที่ขอนแก่นสามารถพลิกคว้าอันดับ 2 ของการแข่งขันไปได้ โดยอันดับ 1 คือผู้ป้องกันแชมป์ติดต่อกัน 2 สมัยอย่างโรงเรียนเอกโกศลมนตร์

“แต่ก็นะ โรงเรียนนั้นเชี่ยวชาญในด้านของทฤษฎีเวทมนตร์เสียมากกว่า ส่วนใหญ่คนที่จบจากโรงเรียนนั้นมักจะเดินทางต่อในด้านของนักวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาเวทมนตร์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเวทมนตร์ใหม่ๆ วิธีการฝึกฝน ประวัติศาสตร์ความเป็นมา แล้วก็พวกทฤษฎีต่างๆ” ธรอธิบายถึงความรู้ของตัวเองที่มีต่อโรงเรียนจตุรพาอาคม
“โฮ่ รู้เยอะไม่เบาเลยนะเนี่ย ไอ้ฉันเองก็อยากเอาพลังความรู้ทางเวทมนตร์กลับไปพัฒนาชุมชนของฉันต่อ ถึงแม้ว่าโรงเรียนจตุรพาอาคมน่าจะทำให้ฉันได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับเวทมนตร์ แต่ว่าด้วยพลังแค่นี้ของฉันคงเอาไปทำอะไรมากไม่ได้ร่อกนะ ฉันอยากจะช่วยบ้านเกิดของฉันด้วยน้ำมือข่องฉันเอง ฉันถึงมาเรี่ยนที่นี่ล่ะ” กอล์ฟมองไปที่หน้ามือของตนเองก่อนจะค่อยๆกำหมัดแน่นเต็มไปด้วยแรงจูงใจอันแรงกล้า จนธรถึงกับอุทานออกมาเบาๆ
“หูว.. ถ้างั้นก็ขอให้โชคดีล่ะ”
“นี่ๆ คุยอะไรกันอยู่เหรอ เห็นคุยกันซะออกรสเชียวนาพวกผู้ชาย 2 คนนี้เนี่ย”

ระหว่างการสนทนาของชายทั้งสองคนกำลังจะจบลง ก็มีนักเรียนหญิงเดินตรงปรี่เข้ามาหาพวกเขา 2 คน หล่อนไว้ผมสั้นเหนือบ่า ผมสีดำตามแบบฉบับของหญิงไทยแท้ นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ส่วนสูงของเธอน่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของหญิงไทยเล็กน้อย เธอมาหยุดอยู่หน้าช่องว่างระหว่างโต๊ะของชายทั้งสองคน

“เอ๋.. เธอคือ..” กอล์ฟงุนงงเล็กน้อยที่อยู่ดีๆก็มีผู้หญิงเข้ามาหา
“ฉันชื่อณัชชาน่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” หญิงสาวนามว่าณัชชาแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้ม

ไม่บอกนามสกุลงั้นเหรอ.. น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ชายทั้ง 2 คนคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา ในยุคปัจจุบันนี้หลังจากที่มีการค้นพบเวทมนตร์มาเป็นเวลาประมาณ 30 ปี โดยทุนเดิมแล้วมนุษย์แต่ละคนต่างก็มีความถนัดที่แตกต่างกันออกไป เฉกเช่นเดียวกันกับเมจิกยูสเซอร์ แต่ละตระกูลจะมีเวทมนตร์เฉพาะทางของตัวเองที่ตระกูลเป็นผู้เชี่ยวชาญในเวทมนตร์ด้านนั้นๆ บางตระกูลก็มีชื่อเสียงผ่านทางความสามารถทางเวทมนตร์ที่รอบด้าน แต่ละตระกูลก็จะมีชื่อเสียงแตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงกลายเป็นวัฒนธรรมระหว่างหมู่เมจิกยูสเซอร์แล้วว่าควรสนใจชื่อตระกูลของคู่สนทนาด้วย แต่กลับการที่ไม่ยอมบอกชื่อตระกูลมีอยู่ 2 เหตุผลหลัก ถ้าไม่ใช่มาจากตระกูลไม่มีชื่อเสียงเลย ก็อาจจะจงใจปกปิดชื่อตระกูลเพื่อเหตุผลบางอย่าง

“ยินดีที่ได้รู้จักน่ะณัชชา ฉันชื่อภราดร เพียงบุญ เรียกฉั่นสั้นๆว่ากอล์ฟ” แต่ดูเหมือนว่าความคิดชั่วครู่นั้นจะเลยผ่านหัวของกอล์ฟไปแล้วอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาแนะนำตัวกลับทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันจ้ะ”
“ธรารักษ์ จุติโอรส หรือธร ฝากตัวด้วย” แต่สำหรับธรใช้เวลาคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนจะแนะนำตัวกลับหลังจากที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเธอไม่ได้จะมาด้วยความประสงค์ร้ายใดๆ
“ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรแล้วสินะ” ณัชชายิ้มอย่างพออกพอใจ

“หืม? ไม่เป็นอะไร ใครไม่เป็นอะไรเหรอ” ธรถามด้วยความสงสัย
“ก็เธอเองนั่นแหละ.. ก็เห็นหน้านิ่งหน้าบูดซะขนาดนั้นตอนแรกก็กะจะมาปลอบใจอยู่หรอก แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของนายจะแย่งงานของฉันไปก่อนแล้วล่ะ” ณัชชาค่อยๆลดเสียงพูดลงเมื่อถึงช่วงประโยคที่สอง
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เรื่องแบบนั้นฉันชินแล้ว” ธรพยายามทำไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่โต
“ลำบากแย่เลยนะ.. ที่ต้องเจอกับอะไรแบบนั้นมาตลอด” ณัชชาพูดด้วยความสงสาร

“นี่เธอนั่นแหละที่จะทำให้ธรมันลำบากใจเอา ไม่ต้องไปพูดถึงมันหรอกเด้อ” กอล์ฟเมื่อพูดเสร็จหันไปมองค้อนคนที่ยืนจับกลุ่มคุยกันพูดถึงพวกเขา
“จริงด้วยสินะ ขอโทษๆ” ณัชชาก้มหัวลง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“อ๊ะ ถ้างั้นไหนๆก็ไหนๆแล้ว กลางวันนี้เราไปกินข้าวด้วยกันเลยไหม” กอล์ฟเสนอไอเดียขึ้นมา

----------

“เอาล่ะ มาถึ้งคำถามสำคัญระดับประเทศ.. วันนี้กินอะไรดีวะ”
“นั่นสิๆ ไม่เคยนึกออกเลยอ่ะว่าจะกินอะไรดี.. อ๊ะ รู้แล้ว! กะเพราไก่ใส่ไข่ดาวไง!”
“เมนูข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาวขึ้นชื่อว่าเป็นเมนูสิ้นคิดตั้งแต่เมื่อ 50 กว่าปีก่อนแล้วนะ”

หลังจากที่พวกเขาทั้ง 3 คนได้พบพานมาเจอกันในห้องเรียนก็กลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่เริ่มผูกความสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็ว เมื่อมีใครยื่นข้อเสนอให้อีก 2 คนในกลุ่มไปกินข้าวกลางวันด้วยกันก็ไม่มีใครปฏิเสธ ธร กอล์ฟ และณัชชาเดินผ่านประตูกระจกของโรงอาหารที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากประตูหลังของอาคารหลัก ลักษณะภายในของโรงอาหารค่อนข้างกว้างและสบายตา ทั้งพื้นและผนังตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์สีแดงอ่อนคล้ายกับน้ำพันช์ โต๊ะในโรงอาหารแยกที่กันอย่างชัดเจนให้อารมณ์เหมือนร้านอาหารข้างนอก มีต้นไม้กระถางตกแต่งเสริมรอบๆ ด้านทิศตะวันตกเต็มไปด้วยร้านอาหารหลากหลายรูปแบบตั้งเรียงรายกันเป็นจำนวนมาก ในขณะนี้ก็มีนักเรียนจำนวนหนึ่งต่อแถวเข้าคิวเพื่อซื้ออาหารแล้ว

“จะเป็นเมนูสิ้นคิดอะไรก็ตามแต่เถอะ แต่ถ้ามันยังอยู่มานานกว่า 50 ปีก็ถือว่าเป็นเมนูที่ใช้ได้เลยไม่ใช่เหรอ” ณัชชาทำแก้มป่องเล็กน้อยหลังจากที่เหมือนกับโดนหาว่าเป็นคนสิ้นคิดโดยธร
“ฉันไม่ได้ว่าเธอเป็นคนสิ้นคิดเสียหน่อยน่า.. แค่เล่าเกร็ดความรู้เล็กๆให้ฟังเฉยๆ” ธรพยายามแก้ตัว
“รู้แล้ว.. ส้มต้ำปลาร้าไงล่ะ! นี่แหละของดีทีเด็ดของภาคอีสานบ้านเฮา! อูย.. ตาแซบแท้” กอล์ฟด้วยความตื่นเต้นที่ได้เห็นอาหารประจำภาคบ้านเกิดของเขาถึงกับหลุดภาษาถิ่นมารัวๆ
“ตกลงนายจะเป็นคนเสียงเหน่อหรือคนติดภาษาถิ่นกันแน่ยะ” ณัชชาแอบสับสนกับคาแรคเตอร์ของกอล์ฟ
“จริงๆฉันก็พยายามจะไม่เหน่อแล้วก็ไม่ติดอีสานด้วยเดี๋ยวคุยกับคนภาคกลางลำบาก.. แต่มั่นยากนะเด้อ” กอล์ฟเกาหัวพร้อมกับยิ้มแหยๆ

“ถ้างั้นเราแยกไปซื้ออาหารของแต่ละคนแล้วค่อยกลับมารวมตัวที่โต๊ะละกัน ยังมีโต๊ะว่างอีกเยอะคงไม่ต้องห่วงหรอก” ธรกล่าวหลังจากกวาดตามองดูโรงอาหารรอบๆ
“ตามนั้น ถ้างั้นอีกไม่เกิน 10 นาทีเจอกันจ้า!” ณัชชากำลังจะก้าวเท้ารีบออกตัวไปยังร้านอาหารตามสั่ง
“เอ๊ะ.. นั่นมันเพื่อนห้องเร่าไม่ใช่เรอะน่ะ” กอล์ฟชี้ไปทางด้านขวามือของเขา
“เห ไหนๆ.. จริงด้วย รู้สึกจะชื่อ.. มายด์รึเปล่านะถ้าจำไม่ผิด” ณัชชาก้าวเท้าไปแล้วข้างหนึ่งแล้วแต่ก็หยุดไว้ ก่อนจะหันกลับมามองไปตามทิศเดียวกับที่กอล์ฟชี้

ภาพที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือนักเรียนหญิงที่มีผมสั้นความยาวเดียวกันกับผมของณัชชา แต่หากจะต่างกันตรงที่สีผมของเธอที่เป็นสีน้ำเงินเข้มแทน นัยน์ตาสีเขียวของเธอถูกปิดกั้นอยู่บ่อยครั้งอันเกิดจากการกะพริบตารัวจากตัวกระตุ้นที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เป็นนักเรียนชาย 2 คนที่สูงกว่าเธอชัดเจนกำลังก้มลงมองใบหน้าของหญิงสาวผมสีน้ำเงินบริสุทธิ์ ชายคนหนึ่งมีนัยน์ตาสีฟ้ากับผมบลอนด์ทองให้กลิ่นอายของชาวต่างชาติ แต่สีผมนั้นมีที่มาจากการย้อมสี ส่วนชายที่ยืนอยู่ด้านขวามีผมสีดำเป็นทรงแสกกลางด้านหลังมีเปียที่ถูกถักเป็นหางผมปลิวสไวจากลมของเครื่องปรับอากาศ ทั้งคู่มีรอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นมิตร แต่สีหน้าและแววตากลับไม่ได้เป็นมิตรเหมือนรอยยิ้มนั้น

“ว่ายังไงล่ะ มาคนเดียวไม่ใช่เหรอ ไปกินข้าวด้วยกันดีกว่าน่า” ชายย้อมผมสีบลอนด์เชื้อเชิญหญิงสาวให้มาร่วมมื้อกลางวันด้วยกัน
“เอ๋ เอ่อ.. คือว่า.. ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หญิงสาวพยายามปฏิเสธ
“อย่าเล่นตัวหน่อยเลยน่า ฉันกับไอ้ศักดิ์นี่อยู่ถึงห้อง 2 เชียวนะ ห้องบีเลยนะจะบอกให้อีกที การที่ได้มากินข้าวกับพวกเรา 2 คนนี่ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงเลย!” ชายผมสีดำที่มีเปียพูดจาสนับสนุนแต่แฝงไปด้วยอีโก้และการอวดเบ่ง
“ตะ แต่ว่า..” ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มค่อยๆทำองศาต่ำลง เธอเริ่มไม่กล้าสบตากับคู่สนทนา
“นี่! เธอจะทำให้ฉันเสียเวลาไปถึงไหน! อยู่แค่ห้อง 4 แท้ๆ คนที่อยู่ต่ำกว่าก็ควรจะฟังคนที่อยู่เหนือกว่าไม่ใช่รึไง!” ดูเหมือนว่าชายย้อมผมจะเริ่มมีน้ำโหหลังจากที่เสียเวลากับหญิงสาวที่พวกเขาพยายามจีบไปกินข้าวมาเป็นเวลานานพอสมควร

“กะ..” หญิงสาวนามว่ามายด์ถูกคุกคามจนเบิกตาโพลงด้วยความกลัวและตกใจกับการขึ้นเสียงของชายตรงหน้าและกำลังจะเปล่งเสียงออกมา
“อย่ามากรี๊ดออกมานะ! ถ้าเธอกรี๊ดออกมาล่ะก็.. ได้เจอดีแน่!” ชายผมดำพยายามข่มขู่ด้วยคำพูด เพราะไม่งั้นพวกเขาจะเป็นเป้าสนใจไปมากกว่านี้และปัญหาอาจตามมาได้
“เลิกยุ่งกับเพื่อนร่วมห้องของฉันได้แล้ว”

ณัชชา กอล์ฟ และธรตัดสินใจหยุดการแยกย้ายเพื่อไปซื้ออาหารก่อนที่จะเดินตรงมายังจุดเกิดเหตุ โดยคนที่เดินนำมาและเอ่ยประโยคเมื่อสักครู่นี้ก็เดาได้โดยไม่ยาก ณัชชาที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันย่อมเข้าใจหัวอกของหญิงสาวที่ตกอยู่ในเหตุการณ์นี้ ด้านหลังของเธอก็คือชาย 2 คนที่พร้อมจะสนับสนุนเธอ ใบหน้าของชายทั้งสองที่มาจากห้องบีบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างมาก

“พวกแกเป็นใคร.. อ๋อ.. ไอ้พวกขยะจากห้อง 4  เหมือนกันสินะ ฉันไม่ได้มีธุระกงการอะไรกับพวกแกเสียหน่อย ฉันมีกับคนที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่! คนนอกอย่ามาเสือก!” ชายผมบลอนด์หันมาตะคอกใส่หลังจากสังเกตเห็นรอยปักสีกากีที่หน้าอกด้านขวาของเสื้อกั๊กสีดำที่เป็นตราวงกลม ด้านในวงปักเป็นเลข 4 ซึ่งผิดจากเสื้อกั๊กของชาย 2 คนที่เป็นคู่กรณีที่มีเลข 2 ปักอยู่หน้าอกด้านขวาแทน
“เอ๊ะ แต่แกเองก็พูดออกมาแล้วนี่ว่าฉันอยู่ห้อง 4 เหมือนกัน ฉันเป็นเพื่อนร่วมห้องของมายด์นะ ดังนั้นฉันจึงไม่ใช่คนนอกตรงไหน เพื่อนของฉันข้างหลังก็ด้วย” ณัชชาเถียงกลับพร้อมกับสายตาที่แน่วแน่ จับจ้องมายังสายตาของชายผมบลอนด์ที่ถูกเพื่อนซี้ผมสีดำด้านข้างเรียกว่าศักดิ์อย่างไม่ลดละ

“ฮึ.. ชื่อมายด์งั้นเหรอ ชื่อน่ารักเหมือนกับหน้าตาเลยนี่หว่า” ศักดิ์ยิ้มอย่างพออกพอใจพร้อมๆกับนำมือขวามาจับคางเพื่อตรวจสอบใบหน้าจิ้มลิ้มของมายด์ ทำให้เจ้าตัวหลบไปอยู่หลังแผ่นหลังของณัชชาโดยมีธรและกอล์ฟช่วยดูแล
“จะหนีไปไหนล่ะแม่หนูน้อย.. ยังไงซะแกก็ต้องมาเป็นของฉันอยู่ดี”
“ขอทีเถอะนะ ว่าจะไม่พูดอะไรแล้วปล่อยให้ณัชชาจัดการเอง แต่แกเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาพูดจามิดีมิร้ายกับเพื่อนร่วมห้องของฉันแบบนี้” กอล์ฟที่ยืนทนฟังอยู่ตั้งนานไม่อาจทนต่อไปไหวกับคำพูดแสนหยาบคายของศักดิ์จนโพล่งออกมา

“หา.. เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า พวกแกน่ะมันห้อง 4 นะ ห้อง 4 ส่วนพวกฉัน 2 คนน่ะ ห้อง 2 เข้าใจไหมคำว่าห้อง 2 น่ะ ห้องอันดับ 2 ของรุ่นเลยนะ คนที่อ่อนแอกว่าก็ต้องเชื่อฟังคนที่แข็งแกร่งกว่าอย่างพวกฉัน! ใช่ไหมไอ้รักษ์!” ศักดิ์ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ กอดอกก่อนจะชายตาหันไปรอคำตอบจากเพื่อนของเขาที่ชื่อรักษ์
“ฮิๆ.. ใช่แล้วไอ้ศักดิ์ พวกมันทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าจะต้องถูกเราสองสุดยอดคู่หูจากห้อง 2 รักษ์แอนด์ศักดิ์ลงโทษ!” รักษ์ที่เตี้ยกว่าศักดิ์เล็กน้อยหัวเราะออกมาพร้อมแสยะยิ้ม ก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างมากอดอกเช่นเดียวกับศักดิ์แล้วพิงตัวด้านซ้ายกับสีข้างของศักดิ์
“พวกแกนี่มัน..” ณัชชากัดฟันด้วยความโกรธแต่เธอก็ไม่สามารถหาข้อโต้แย้งกลับคืนไปยังคู่กรณีทั้ง 2 ได้ เพราะเธอเองไม่เคยเชื่อมั่นในความสามารถทางด้านเวทมนตร์ของเธอเลย กอล์ฟเองก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ทั้ง 2 อยากจะโต้เถียงกลับไปมากเพียงใด แต่ความไร้พลังของพวกเขาเปรียบเสมือนกับปลอกคอที่รั้งตัวของพวกเขาไว้

“ถ้าจะพูดแบบนั้นคงจะไม่ถูกซักทีเดียวหรอกนะครับ” ธรที่นิ่งเงียบอยู่นานตัดสินใจเอ่ยคำพูดออกมาเพื่อโต้แย้งแทนเพื่อนของเขาอีก 2 คน
“อะไรของแกอีกวะ!”
“ถ้าจะวัดความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของบุคคลคนหนึ่งโดยยึดจากเพียงแค่ระดับของห้องที่แต่ละคนอยู่ คงจะเป็นการมั่นใจเกินเหตุไปหน่อยนะ” ธรขยายความจากประโยคข้างต้นที่เขาได้กล่าวไป
“มั่นใจเหรอ เอ้า แน่นอนสิ ก็ผลสุดท้ายมันก็เห็นๆกันอยู่!” ชายย้อมผมอย่างศักดิ์ตอบด้วยความมั่นหน้า

“การสอบเข้าโรงเรียนนี้นอกจากภาคทฤษฎีแล้ว ในส่วนของภาคปฏิบัติจะสอบแยกเป็น 4 ทักษะ ด้านความแม่นยำ การควบคุม ความเร็ว และความสะอาด ฉันไม่คิดหรอกนะว่าพวกนาย 2 คนจะสามารถทำคะแนนทุกๆทักษะได้ดีและเท่ากันหมดเลย จะต้องมีด้านใดซักด้านที่คะแนนต่ำกว่าทักษะด้านอื่น.. การที่พวกฉันอ่อนแอในทักษะด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่เก่งด้านไหนเลย ฉันอาจจะร่ายเวทมนตร์ได้ไม่เร็วนักแต่ฉันสามารถร่ายเวทมนตร์ที่สะอาดที่สุดได้ทำให้เวทมตร์นั้นๆมีประสิทธิภาพสูงสุด ฉะนั้นการจะมาดูถูกคนอื่นเพราะเพียงแค่คะแนนสิริรวมทั้งหมดสูงกว่า.. ทั้งๆที่คะแนนทักษะหนึ่งอาจจะมีน้อยกว่าพวกฉัน.. ถึงได้บอกไงว่ามันคือการมั่นใจเกินเหตุ” ธรอธิบายด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

“ฉันไม่อยากฟังการพล่ามไร้สาระจากคนที่ยังต้องพึ่งการ์ดรีดเดอร์ในการใช้เวทมนตร์อย่างแกหรอกนะ” ศักดิ์ยังคงดูถูกต่อไป
“อย่างที่ฉันบอกไงว่าด้านความเร็วในการร่ายเวทมนตร์ฉันอาจจะสู้คนอื่นไม่ได้.. แต่ด้านความสะอาดของเวทมนตร์ฉันค่อนข้างมั่นใจ” ธรยืนกรานจุดยืนของตนเอง
“อย่ามาขี้โม้ไปหน่อยเลย ไอ้ไม่สมประกอบ” รักษ์เอ่ยถ้อยคำดูถูกออกมา
“เอาแต่ดูถูกคนอื่นแบบนี้แสดงว่ากลัวฉันล่ะสิท่า”
“ได้.. แกพูดเองนะ..!”

ศักดิ์กับรักษ์หยิบการ์ดด้วยความโมโหจากกระเป๋าของเสื้อกั๊กก่อนที่จะพลิกการ์ดหันกลับมาใส่ธรที่เขยิบก้าวออกมายืนด้านหน้าเพื่อนของพวกเขา เป็นสัญญาณที่พวกเขา 2 คนกำลังจะตัดสินใจร่ายเวทมนตร์ใส่ธรแล้ว ซึ่งการใช้เวทมนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสภานักเรียนหรือคณะผู้บริหารถือว่าเป็นการละเมิดกฎของทางโรงเรียนอย่างสิ้นเชิง
Sponsored content

The Evocation Empty Re: The Evocation

Back to top
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum