DWO City
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Go down
Jussaateen
Jussaateen
Posts : 22
Join date : 2018-08-20

ÆLLAS Empty ÆLLAS

Thu Dec 20, 2018 9:27 pm
บทนำ
จนกว่าพระเจ้าจะกลับมา
 
ความเงียบงัน
ความหนาวเหน็บ
—สองกลิ่นอายปกคลุมทั่วห้องโถงพระโรงขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยสีทองอันเกรียงไกร และธงสีครามขนาดยักษ์ห้อยอยู่บนเพดานอย่างภาคภูมิ

 
แต่แม้ทุกอย่างจะดูยิ่งใหญ่สมดังห้องบัลลังก์แห่งราชันย์ที่ถูกจัดรังสรรค์มาอย่างดีหลายชั่วรุ่น กลับไร้ซึ่งผู้ใดนั่งอยู่บนแท่นเหล็กแห่งผู้ปกครองแดน และไร้วี่แววของผู้อารักขา เหล่าอัศวินอันเกรียงไกรแห่งกษัตริย์แต่ใด ๆ
มีเพียงกลิ่นอายแห่งความเงียบงัน และความหนาวเหน็บ ที่ปกคลุมห้องโถงอันว่างเปล่าแห่งนี้เอาไว้ เรื่อยไปอย่างไร้จุดจบ
 
หากแต่ลึกลงไปใต้บัลลังก์ที่ประทับแห่งพระองค์ มีบันไดชันลงลึกหยั่งไปยังใต้รากของปราสาท
เหล่าความลับอันดำมืดของราชวงศ์ตั้งแต่รุ่นโบราณจนถึงรุ่นแห่งพระองค์ ล้วนถูกฝังอยู่กับความมืดนี้

 
หากทว่าในความมืดนั้นกลับไม่ว่างเปล่า แต่มีแสงส่องสว่างอยู่ภายใน
ผู้คนมากมายหลายสิบลมหายใจกำลังกระทำบางอย่างอยู่อย่างลับ ๆ
 
แสงสีแดงฉานราวเปลวเพลิงอเวจีกำลังส่องสว่างด้วยอิทธิฤทธิ์ของเหล่านักบวชผู้มากพรสวรรค์ และตัวตนของกษัตริย์ที่กำลังนั่งมองดูพิธีกรรมของเหล่านักบวชทั้งหลาย ฟังบทสวดภาษาโบราณที่ก้องกังวานไปทั่วห้องใต้ดินแห่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
 
“..เจ้ามั่นใจใช่ไหม บุตรของข้า?”
เสียงอันแหบแห้นของกษัตริย์วัยชราร่างใหญ่ดังออกมาจากปากของเขาในขณะที่สายตายังคงมองไปยังเหล่านักบวชอย่างตั้งใจ

 
หากทว่าคำพูดของเขามิใช่สำหรับนักบวชคนใดคนหนึ่งที่กำลังยืนล้อมรอบแสงสว่างสีแดงฉานนั้น แต่เป็นบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังของของกษัตริย์ในความมืดมิด..


บัดนั้นเองที่ไม้เท้าเคลื่อนออกมาจากเงามืด เช่นเดียวกับกายาของชายหนุ่มเดินออกมาอย่างใจเย็น ผ่านหลังของกษัตริย์ไป แล้วอ้อมมายืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
 
ชุดของเขาดูเป็นเชื้อพระวงศ์ มีสีน้ำเงินและสีขาวตัดสลับกันอย่างสวยงามและไม่สะดุดตาจนเกินไป ไหล่ทั้งสองข้างของเขาถูกเปิดออก อีกทั้งบนผมอันรุงรังของเขานั้นมีที่คาดสีขาวติดอยู่เหมือนกับเหล่านักบวชทั้งหลายที่ร่วมสวมมันไว้บนหัวแบบเดียวกันหมด ใบหน้าของเขาดูงดงาม และสื่อถึงคำว่า ‘เจ้าชาย’ ได้อย่างสมบูรณ์
 
เขาค่อย ๆ ลดกายาคุกเข่าลง ก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะอยู่ในระดับเดียวกันอย่างพอดี แล้วชายหนุ่มจึงเริ่มตอบด้วยคำพูดสุภาพนอบน้อมกลับไป

“ขอรับ ..ท่านพ่อ”

“พิธีกรรมนี้จะต้องสำเร็จ.. และชัยชนะจักอยู่ข้างเราอย่างแน่แท้ขอรับ”
“..หากเจ้ายืนยันเช่นนั้นแล้ว ก็เชิญเจ้าดำเนินพิธีกรรมนี้ต่อไปเลย บุตรของข้า”
แม้จะเป็นการสนทนาระหว่างบุตรชายของกษัตริย์กับตัวพระองค์ ทว่าบรรยากาศอันไม่เป็นใจนี้ ทำให้ความอึดอัดปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนรอบตัวทั้งสอง
 
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีใครแปรเปลี่ยนสีหน้าตามความอึดอัดนั้น ทั้งสองเพียงจรดมองกันและกันอย่างแน่นิ่งและไร้อารมณ์ ไม่ต่างอะไรจากเจ้านายและข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์
—บางทีอาจจะเป็นเพราะ เจ้าชายผู้นี้เคยชินกับมันแล้วก็ได้
 
“ขอรับท่านพ่อ”
เจ้าชายขานรับคำสั่ง และลุกขึ้นยืนโดยทันทีตามคำประสงค์แห่งบิดา

ชายหนุ่มค่อย ๆ เคลื่อนกายเดินตรงเข้าไปหาเหล่านักบวชทั้งหลายที่กำลังยืนเรียงต่อกัน ล้อมรอบวงกลมสีแดนฉานที่กำลังส่องแสงออกมาอย่างริอาจเป็นไปได้โดยปราศจากกลวิธีทางวิทยาศาสตร์จะสรรสร้างมันขึ้นมาได้

แน่ชัดว่านั่นคืออาคม —เวทมนตร์โบราณที่เหล่าจอมเวทได้ฝึกฝนกันมาอย่างยากลำบากและยาวนาน จนชำนาญอย่างแท้จริง
 
คำกล่าวฉานจากปากของเหล่านักบวชดังขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทว่าไร้หนทางจะเข้าใจมันได้ บางทีคำกล่าวประหลาดทั้งหลายนั้นเหล่านักบวชเองอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังขับร้องอะไรออกมาจากปากของตน
 
เจ้าชายเดินมาหยุดอยู่ตรงพื้นที่ช่องว่างระหว่างระยะห่างของเหล่านักบวช และร่วมยืนล้อมรอบวงแหวนอันเกิดจากปาฏิหาริย์นี้ตาม ในขณะที่ดวงตาของเขากำลังจับมองไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางวงแหวนสีแดงฉานนั้น
 
“เริ่มต้นได้” เขาพูดขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของเด็กน้อย
ทว่าแม้จะแผ่วเบาเช่นนั้น เหล่านักบวชก็เริ่มลดเสียงและเงียบลงตามคำสั่งของเจ้าชายรูปงามผู้นี้ทันใด ก่อนที่เหล่าจอมเวทจะเริ่มเปิดคัมภีร์บางอย่างขึ้นมาจากมือของพวกเขาอย่างเร็วไว ในขณะที่เจ้าชายผู้นั้นก็ยังคงจับจ้องมองไปยังบุคคลผู้แน่นิ่งอยู่กลางวงแหวนที่ยังคงส่องแสงเพลิงที่ไร้ไอร้อนอยู่

 
ดวงตาของเธอช่างสวยงามเสียจริง
อยากจะรู้เสียจริงว่านามของเธอคืออะไร
แต่ทว่าก็น่าโชคร้ายเสียจริง

ข้าจะอาลัยและสวดมนตร์ให้กับการเสียสละของเจ้าก็แล้วกัน
 
—เขาคิดขึ้นขณะที่มองไปยังดวงตาคู่นั้นของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางวงแหวนเวท
ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกไม้เท้าของเขาขึ้นมา และชี้ไปยังร่างของเธอด้วยสีหน้าและสายตาที่อาลัยอาวรณ์และเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด หากทว่าความเศร้าโศกเหล่านั้นก็ถูกบดบังด้วยคำว่าหน้าที่ที่ฝังลึกในใจของเขา
 
“พร้อมแล้วครับ” หนึ่งในนักบวชพูดขึ้น หลังจากที่ตัวเขาและนักบวชคนอื่น ๆ ได้เปิดคัมภีร์เตรียมบทสวดต่อไปสำเร็จแล้ว
“..”
เจ้าชายหาได้ปริวาจาหรือแม้แต่เหลียวมองนักบวชผู้นั้น เพราะในขณะนั้นดวงตาและสมาธิของเขากำลังอยู่ที่เบื้องหน้านั่นคือสตรีสาวเท่านั้น
 
ทว่าแม้จะไร้คำตอบ นักบวชผู้นั้นก็เข้าใจ และหันมองไปยังร่างของสตรีสาวผู้นั้นตาม ก่อนที่จะส่งสัญญาณผ่านสายตาให้กับนักบวชคนอื่น ๆ ตาม
 
เมื่อนั้นเองที่วาจาทั้งหมดประสานกัน ดวงตาอันแน่วแน่ของเหล่าผู้ศรัทธา และหยาดเหงื่อจากใบหน้าไหลรินสู่ผืนดิน บทสวดจึงเริ่มถูกขับขาน และพิธีกรรมอันเก่าแก่จึงเริ่มต้นขึ้น
 
“ทุกชีวิตเริ่มต้นขึ้นจากเปลวเพลิง และทุกชีวิตล้วนสิ้นสุดลงด้วยเถ้าธุลีใ”
“เฉกเช่นที่พระองค์มอบแสงอาทิตย์ให้กับเรา เราขอถวายเนื้อและชีวิตให้กับท่าน”
“ด้วยโลหิตแห่งชีวิตบริสุทธิ์ทั้งแปด และร่างกายาของสตรีอันเยาว์วัย”
 —วงแหวนเวทเริ่มสั่นครือ แสงสีแดงราวกับแสงของดวงอาทิตย์เริ่มส่องสว่างมากยิ่งขึ้น ตามวาจา ทว่าปราศจากไอร้อนระอุใด ๆ ออกมา เหล่าผู้ศรัทธาจึงยังขับร้องต่อไป
 
“เครื่องเซ่นสังเวยนี้ขอมอบให้ในนามแห่งผู้ศรัทธา จากบรรพบุรุษแห่งเรา ลูซิล ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรโบเรเนีย”
“ด้วยตัวข้า ผู้ศรัทธาอันนอบน้อมแห่งท่าน ขอมอบถวายให้กับเหล่าพระบิดา และพระมารดาแห่งเรา”
“ขอพระองค์ท่านจงมองตามเส้นทางแห่งโลหิต และก้าวตาม เก้า ก้าว เพื่อที่พระองค์ท่านจะได้ไปถึงกายาอันแข็งแรงและบริสุทธิ์ เพื่อปกครองเรามนุษย์ผู้หลงทาง”
 
กษัตริย์ผู้ที่นั่งอยู่ในเงามืดเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างแออัดในอากาศที่หมุนเวียนอยู่ ความมืดเริ่มคืบคลานและเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า พุ่งหนีออกจากบริเวณราวกับหวาดกลัวในพลังอำนาจที่กำลังปรากฏ
 
—ร่างของสตรีสาวเริ่มลอยขึ้นเหนือวงแหวน แสงสีแดงฉานเริ่มมอดดับหายไป ในขณะที่เหล่านักบวชและตัวเจ้าชายยังคงขับขานร่ำไห้ จรดมองร่างของหญิงสาวอย่างตั้งใจและไม่หวาดหวั่นให้กับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบกายของพวกเขา
 
“เราขอสาบาน ในนามของตัวแทนแห่งมวลมนุษย์ เราจะภักดีแก่ท่าน สมดังบิดามารดาที่เลี้ยงดูเราขึ้นมา และจะปกป้อง รับใช้ท่าน สมดังมนุษย์ที่ท่านสร้างขึ้น”
 
—เปลวเพลิงสีมรกตพุ่งระอุออกจากวงแหวนอย่างรุนแรง และเข้าไปยังกายาของหญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง จนน่าหวาดหวั่น
—เหล่านักบวชบางคนเริ่มตกใจและหวาดหวั่นในภาพที่ตนเห็น ทว่าแม้จะหวาดกลัว แต่ก็ยังกัดฟันพวกเขายังคงขับขานต่อไปเฉกเช่นเจ้าชายที่ปราศจากความหวาดกลัวใด ๆ และเปล่งเสียงตะโกนออกมา เป็นผู้นำให้กับพวกเขาต่อไป ในขณะที่ร่างของหญิงสาวกำลังถูกเปลวเพลิงกลืนกิน
 
“ด้วยประการนั้นแล้ว ขอพระองค์จะตอบกลัวคำของเรา ขอพระองค์ขจัดความชั่วและความหนาวเหน็บทั้งมวลออกไป! และชี้นำทางเราอีกคราว!”
“เหล่าปรวาณแห่งชีวันเอ๋ย!”
 
“…”
เสร็จสิ้นซึ่งบทสวดพิธีโบราณ
หากแต่ปาฏิหาริย์ยังไม่สิ้นสุด และเปลวเพลิงยังไม่หายไป มันยังคงเคลื่อนไหวราวกับอสูรกายที่ยังไม่ตายดี
 
—!
ดวงตาของหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้น ในขณะที่สายตาทั้งมวลจับจ้องมองไปยังกายาของเธอที่ลอยอยู่อย่างนิ่งเงียบ
 
“ธ— เธอยัง.. ไม่ตาย..”
เว้นแต่หนึ่งในเหล่านักบวชที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
 
“อ— ช— ช่วยด้—!”
เธอพยายามดิ้นรน ในขณะที่สีหน้าแสดงถึงความหวาดกลัวและความเจ็บปวดอันมหาศาล
 
เปลวเพลิงนั้นมิได้กำลังห่อหุ้มกายาของเธอแต่อย่างใด
ทว่ามันกำลังเผาร่างของเธอให้มอดไหม้อย่างช้า ๆ เสียต่างหาก

 
แม้จะดิ้นรนอีกสักกี่คราว ร่างกายของเธอก็มิอาจหลุดจากพันธนาการแห่งเปลวเพลิงนี้ได้ หากจะพูดให้ถูกแล้ว ตัวเธอในขณะนี้ก็มิต่างอะไรกับตายทั้งเป็นแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อใดความเจ็บปวดจะสิ้นสุด และวิญญาณสิ้นหายไปเสียที
“อ—!”
“—”
เสียงหายไป.. เพราะเปลวเพลิงได้กลืนกินจนถึงคอของเธอแล้ว ทำให้หลอดเสียงและหลอดลมกำลังถูกแผดเผา
บัดนี้มีเพียงความตายที่เธอใฝ่หา.. ความคิดของเธอเริ่มหยุดนิ่งในขณะที่ผิวหนังและเนื้อในของเธอบางส่วนเริ่มกลายเป็นเถ้าถ่านโดยสมบูรณ์
 
และในท้ายสิ้น เปลวเพลิงสีมรกตก็เขมือบร่างของหญิงสาวโดยสมบูรณ์ ในขณะที่เหล่าสักขีพยานทั้งหลายยืนมองเหตุการณ์นั้นโดยไม่ขยับกายาส่วนใด ๆ อาจเป็นเพราะความตกตะลึง หรือความหวาดกลัว หรือทั้งสองอย่างกำลังต่อสู้กันภายในหัวอยู่ก็เป็นไปได้
 
—หากทว่าบัดนั้นเองที่พวกเขายังคงไม่เชื่อในสายตา
—เปลวเพลิงก็หายไปกับอากาศในทันที
—เหลือเพียงกายาของหญิงสาวกระแทกลงมากับพื้นอย่างรุนแรง
 
เหล่านักบวชต่างถอยหลังออกมาด้วยความหวาดผวา ทว่ายกเว้นเพียงเจ้าชายที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิม และในขณะนี้ก็เป็นผู้ที่ยืนอยู่ในระยะที่ประชิดที่สุดกับกายาของหญิงสาวที่นอนคว่ำอยู่กับพื้น
 
ตัวกษัตริย์กำลังจะลุกขึ้นเข้าไปหาบุตรชายของตนด้วยความเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เห็น ‘สิ่งนั้น’ ก่อนหน้านี้เข้า ทว่าตัวเขาก็หยุดนิ่งและห้ามใจทันเมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนเริ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาวอย่างช้า ๆ ดังว่าจะตรวจสอบเธอ
 
เจ้าชายมองไปยังร่างกายของเธอด้วยความงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
—นี่มันเหนือความคาดหมาย
—นี่หรือ พิธีกรรมโบราณ ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง หากผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว เปลวเพลิงนั่นคงกลืนกินพวกเราทุกคนในห้องนี้ไปแล้ว
 
—ทว่าเธอควรจะตายไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดเธอจึงยังไม่ตายกัน?
—และตอนนี้เธอตายไปแล้วหรือเปล่ากัน? พิธีกรรมนี้ล้มเหลวหรือ?
—คำถามเหล่านี้เท่านั้นที่ข้าต้องการคำตอบในเวลานี้
ตัวเขาค่อย ๆ ยื่นมือเข้าไปยังกายาแน่นิ่งของหญิงสาวด้วยความสงสัย ในขณะที่ตัวกษัตริย์เองสังเกตเห็นบางอย่างแล้วรีบลุกขึ้นยืน ตะโกนขึ้นมาในทันที
 
“อามิล! ระวัง!”
—สิ่งที่เขาเห็น คือเพลิงถ่านสีแดงที่เริ่มลอยขึ้นจากกายาของเธอ
 
ควั่บ!
มือของหญิงสาวพรวดคว้าข้อมือของเจ้าชาย ‘อามิล’ เอาไว้อย่างรวดเร็วจนตัวเจ้าชายมิทันตั้งตัว ตัวเขาล้มลงไปกับพื้นด้วยความหวาดหวั่น และพยายามจะเคลื่อนตัวหนีออก ทว่ามือของหญิงสาวบีบแน่นทำให้ตัวเขามิอาจหนีออกไปได้
 
เหล่านักบวชต่างพากันตกใจและถอยกลับด้วยความหวาดกลัว กษัตริย์พยายามจะวิ่งเข้าไปช่วยทว่าถูกอัศวินที่หลบอยู่ในเงามืด ยั้งตัวคว้าไว้ได้ทันส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งพุ่งเข้าไปล้อมรอบหญิงสาวพร้อมกับชักดาบขึ้นมาชี้ไปยังร่างกายของเธอ
 
อามิลที่กำลังตื่นตระหนกตกใจ พยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ และผ่อนลมหายใจให้ช้าลง พยายามหยุดอาการตกใจของตนเอง และมองไปยังหญิงสาวที่ยังคงนอนคว่ำไม่ขยับไหวตึงใด ๆ หลังจากที่คว้ามือของตนไปแล้ว
 
“อ— อามิล! ไม่เป็นอะไรนะ?”
“ข.. ข้าไม่เป็นไร..” อามิลพยายามตอบกลับไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะกลืนน้ำลายของตนเองและสั่งเหล่าอัศวินในทันทีทันใดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้น “เหล่าอัศวินลดดาบลงเถอะ”
 
เหล่าอัศวินต่างเริ่มลดดาบลงตามคำสั่งของรัชทายาทแห่งบัลลังก์ ทว่าบัดนั้นเองที่หญิงสาวก็ปล่อยมือของเธอออกจากเจ้าชาย ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ เหนือตัวเจ้าชาย ในขณะที่เหล่าอัศวินที่เห็นท่าทีเช่นนั้นก็ต่างไม่ไว้ใจเท่าไรนัก และมือกุมดาบของพวกตนเตรียมสะบั้นศัตรูอีกคราวหนึ่ง
 
เจ้าชายค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนตามหญิงสาวผมสั้น ในขณะที่สายตาขาของเขาจับจ้องมองไปยังกายาที่ควรจะเต็มไปด้วยรอยแผดเผาของเปลวเพลิงทว่าบัดนี้กลับสะอาดไร้ซึ่งรอยแผลใด ๆ เลยแม้แต่รอยแผลก่อนหน้านำตัวเธอมายังห้องใต้ดินแห่งนี้ด้วยเสียไป
 
ทว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเขาตกใจและจับจ้องมองโดยไม่ละสายตานั้นมิใช่เรือนร่างของเธอ
—เป็นดวงตาที่บัดนี้เป็นสีมรกตเหมือนกับเปลวเพลิงที่แผดเผาเธอเมื่อก่อนหน้านี้
 
“..พวกเจ้ากล้าดีนี่ ถึงได้อัญเชิญข้ามาสถิตในร่างของมนุษย์เช่นนี้”
“แต่ก็ย่อมได้.. เจ้าสวดภาวนาให้กับข้า ตัวข้าจึงตอบรับคำภาวนาของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องการพลังใด ๆ จากปรวาณเช่นข้ากัน?”
 
หญิงสาวพูดขึ้นด้วยสายตา และน้ำเสียงที่ดูดูหมิ่นพวกตนอย่างแท้จริง ทว่าในความดูหมิ่นนั้นคือความจริงที่เธอรับรู้มายาวนานกว่าพวกตนเป็นไหน ๆ ราวกับว่าตัวเขาและทุกคนภายในห้องแห่งนี้เป็นเพียงแค่ปศุสัตว์ในสายตาของเธอ
 
—ไม่ผิดแน่ พิธีกรรมของเราสำเร็จ
—เราทำสำเร็จแล้ว
 
กษัตริย์ค่อย ๆ ก้าวขาเดินเข้ามาเบื้องหน้า หญิงสาวที่ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังของเธอ จึงหันมองตามด้วยความใฝ่รู้ แล้วจึงเอ่ยปากถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอันดูใคร่สนใจในตัวชายชรา
 
“หนุ่มน้อย.. เจ้าต้องการจะตอบคำถามข้าหรือ?”
แม้ร่างกายของเขาจะดูแก่กว่าเธอราว ๆ สี่สิบปี แต่เธอกลับเรียกกษัตริย์แห่งอาณาจักรผู้นั้น ราวกับเด็กชายตัวน้อย ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
 
โดยปกติแล้วเหล่าอัศวินคงพุ่งพรวดเข้าไปแล้วจับตัวเธอไปขังในเรือนจำ โทษฐานดูหมิ่นราชพระวงศ์
ทว่าไม่มีใครในนี้ที่โง่เขลาถึงเพียงนั้น สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และเธอผู้นี้หาใช่คนอีกต่อไป นั่นเป็นความจริงที่ทุกคนหาได้เพียงศรัทธาแต่รู้อย่างแน่ชัดแล้วในขณะนี้
 
—เธอผู้นี้ บัดนี้มิใช่คนแล้ว แต่เป็นร่างทรงแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
—คนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหาใช่หญิงสาว แต่เป็นพระผู้สร้างโลกและหล่อเลี้ยงชีวิตตั้งแต่กำเนิดจนในความตาย
 
บัดนั้นเองที่เจ้าชายอามิลทรงทูลตอบแทนพระบิดาของตน
ให้กับคำประสงค์ของ ‘เทพเจ้า’
 
“โปรดมอบพละกำลังให้แก่เรา และชี้นำเราด้วยเถิด..”
“ช่วยเรายุติ สงครามร้อยปี และนำความสงบสู่อาณาจักรแห่งเราด้วยเถิด”
 






...เริ่มต้นด้วยเปลวเพลิง สิ้นสุดลงด้วยเถ้าถ่าน
เรื่องราวนี้เริ่มต้นด้วยการปรากฏแห่งเปลวเพลิง
และเป็นเส้นทางสู่วันที่โลกาต้องปกคลุมด้วยธารธุลี
 
นี่คือเรื่องราวของการกำเนิดใหม่ และการล่มสลาย แห่งอาณาจักรเอลลาส...
Back to top
Similar topics
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum