DWO City
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Go down
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Thu Feb 27, 2020 11:45 pm
          "ซุนเหว่ย” ชื่อของเด็กหนุ่มชาวจีน ถูกเรียกขึ้นมา ท่ามกลาง เด็กหนุ่มและเด็กสาวในวัยเดียวกันทั้งหมด 600 คน หลังจากที่ได้ยินชื่อตัวเอง เด็กหนุ่มผิวขาว รูปร่างสมส่วน ที่มีผมเป็นสีดำสนิทก็ลุกขึ้นตามเสียงเรียก เขาเดินออกจากแถวของตัวเอง ไปสู่เวทีที่ยกสูงขึ้นจากพื้นประมาณ 5ขั้นบันได เป็นเวทีที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจุตรัสขนาดกว้างประมาณ10x10 เมตรและไม่มีเชือกล้อมรอบ บริเวณด้านข้างของมัน มีตัวหนังสือเขียนว่า “เวทีการประลอง”  




           และบริเวณด้านล่างรอบๆเวที ก็จะมีเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิรวมไปถึงคณะกรรมการต่างๆล้อมรอบอยู่ และก็ยังมี ชายที่ใส่ชุดดำล้วนยืนอยู่บนเวที ซึ่งแน่นอนว่าเขาคือ “กรรมการ” และถ้ามองไปด้านหลังฉากของเวที ก็จะมีป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า “การสอบคัดเลือก รอบสุดท้าย” 




           ซุนเหว่ย เดินมาที่ฝั่งซ้ายของเวที บันไดของฝั่งนี้จะเป็นสีแดง ส่วนอีกฝั่งจะเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งอีกฝ่ายก็มีเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนรออยู่แล้วเช่นกัน 




“พร้อมนะไอ้หนู” เสียงของเจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย พูดกับ ซุนเห่วย 
“พร้อมครับ” เด็กหนุ่มตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง 




           ที่นี่คือ โรงเรียน บาตะมาโฮว ที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามจีนญี่ปุ่น ครั้งที่1เสียอีก แต่เดิม เป็นโรงเรียนที่ใช้สอนคาราเต้ และในเวลาต่อมาก็กลายเป็นโรงเรียนกีฬา ที่เน้นไปที่กีฬาการต่อสู้ จนมาถึงในยุคปัจจุบัน ที่เหล่าประเทศมหาอำนาจ เห็นพ้องต้องกันว่า หากประชากรทุกคนบนโลกสามารถ ใช้วิชาศิลปะการต่อสู้ได้ จะสามารถลดเหตุอาชญากรรมไปได้กว่า 80% เลยทีเดียว จึงมีการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาให้เป็นแบบใหม่ ทำให้ทุกโรงเรียนต้องมีการเรียนการสอนการศิลปะต่อสู้ และยังมีโรงเรียนสำหรับการสอนการต่อสู้โดยเฉพาะอีกด้วย ซึ่งโรงเรียน บาตะมาโฮว ถือเป็นโรงเรียนสอนการต่อสู้ นานาชาติ แห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ด้วยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ของโรงเรียน ทำให้ บาตะมาโฮว กลายเป็นตัวเลือกแรกของ เด็กมัธยมปลายหลายๆคน




“ดูนั่นสิ คนจีนล่ะ”




          เสียงซุบซิบกันของนักเรียนคนอื่นๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ ซุนเหว่ย ก้าวขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาเหล่านั้น ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะแสดงสิ่งที่เขาร่ำเรียนมาตั้งแต่วัยเด็ก และคู่ต่อสู้ของเขา มีชื่อว่า “คิม ฮันยอล” นักเรียนจากเกาหลี เขาใส่ชุดเทควันโด้ มาอย่างเต็มยศ และเห็นได้ชัด ว่าเขาอยู่ในระดับ “สายดำ” 




          แต่ซุนเหว่ย เขาไม่ได้เตรียมชุดประจำวิชาของตัวเองมาเลย เขาใส่ชุดสีดำล้วนเหมือนนักเรียน ม.ต้น ของญี่ปุ่น เพราะเขาคิดว่ามันจะทำให้เขาไม่ดูโดดเด่นจนเกินไป แต่เอาเข้าจริง กลับกลายเป็นทุกคนที่มาคัดเลือก พร้อมใจกันใส่ชุดที่บ่งบอกถึงวิชาการต่อสู้ของตัวเองทั้งสิ้น กลายเป็น ซุนเหว่ย ดูเหมือนพวกไม่ค่อยเอาอ่าวตั้งแต่เริ่มต้น




            หนุ่มผิวขาวถอดเสื้อนอกสีดำของเขาออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวที่ทับไว้ในกางเกงอย่างเรียบร้อย 


“กล้ามแขนก็ไม่ได้ใหญ่เลยนี่ เจ้าคนจีนนั่น” เสียงซุบซิบยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง


“เอาล่ะ!! เตรียมพร้อม!!” 


            เสียงของกรรมการบนเวทีดังขึ้นเป็นสัญญาน เขาเรียก นักสู้ทั้ง2เข้ามาใกล้ๆ และบอกให้ทั้งคู่ทำความเคารพกัน และเริ่มอธิบายกติกาและข้อห้าม โดยกฎกติกาจะเป็น สู้กันแบบยกเดียว 5 นาที ใช้ทุกส่วนในร่างกายออกอาวุธได้ ห้ามโจมตีบริเวณที่ต่ำกว่าเข็มขัด หรือการกระทำที่ทำให้อีกฝ่ายมีอันตรายถึงขั้นสูญเสียอวัยวะ เช่น กัดหู จิ้มตา เป็นต้น หากฝ่าฝีน จะถูกตัดสิทธิทันที ทั้ง2ฝ่ายต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อแสดงศักยภาพ โดยการเลือกคู่มาต่อสู้กันนั้น จะใช้ระบบสุ่ม และจะแยกชายหญิงชัดเจน ทำให้จะไม่มีการสู้กันระหว่างเพศ และไม่สำคัญว่าจะแพ้หรือชนะ ขอเพียงทำให้คณะกรรมการมองเห็นฝีมือ ก็จะผ่านการคัดเลือกได้ โดยจากจำนวน 600 คน จะถูกคัดเหลือเพียงครึ่งเดียว หรือก็คือ 300 คน เท่านั้น




“ชกได้!!!” กรรมการพูดเสียงดังพร้อมกับเสียงระฆังที่ตามมา




             คิม ฮันยอล ตั้งท่าอย่างแข็งขัน ในขณะที่ ซุนเหว่ย แค่ยกมือขึ้นมาตั้งการ์ดมวยเท่านั้น “เจ้าคนจีนนั่นมันดูไม่พร้อมเอาซะเลย” “อย่าบอกนะว่าจะใช้มวยสากลน่ะ” “นึกว่าจะได้ดูกังฟูซะอีก” เสียงซุบซิบนินทา ดังขึ้นหลังจากเห็นการตั้งการ์ดของซุนเหว่ย


“อย่ามาทำเป็นเหยาะแหยะ!!” 


             คิม ฮันยอล พุ่งจู่โจม ด้วยการหมุนตัวเตะ อย่างรุนแรง แต่ซุนเหว่ย สามารถโยกตัวหลบได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ทางด้านของ คิม ฮันยอล ที่แม้จะพึ่งหมุนตัวเตะไป ก็สามารถยืนทรงตัวอยู่ได้อย่างไม่ไหวติงใดๆ และออกอาวุธเป็นลูกเตะอีกชุดใหญ่ คิม ฮันยอล พยายามพุ่งเป้าไปที่ บริเวณ ลำตัวของซุนเหว่ยที่ดูเหมือนจะเปิดโล่งอยู่ เขากระโดดถีบไปที่บริเวณท้องของ ซุนเหว่ย หวังจะทำน็อคเอ้าท์ตั้งแต่เริ่มเกม แต่ซุนเหว่ยก็โยกตัวหลบไปด้านข้างได้อย่างรวดเร็ว 




            คิมฮันยอล เป็นฝ่ายที่พยายามโจมตีซุนเหว่ยอยู่ฝ่ายเดียวมานานกว่า 2นาที แต่ก็ยังไม่มีดอกไหนที่เข้าเป้าเลย ถ้าไม่ถูกโยกหลบ ก็จะถูกบล็อคเอาไว้ได้ จนเจ้าตัวเริ่มจะหัวเสีย




“หนอยแน่แก!! เก่งแต่หลบรึไง!!” 




            คิม ฮันยอลสบถออกมาก่อนที่จะพุ่งไปเล่นงาน ซุนเหว่ยอีกครั้ง คราวนี้เขาเล็งเป้าไปที่บริเวณหัวของซุนเหว่ย เขาจู่โจมด้วยขาข้างขวาเป็นท่าเตะสูง และในจังหวะนั้นเอง ซุนเหว่ยก็จับขาขวาของ คิม ฮันยอลที่ตรงมาที่หัวของเขาได้ ก่อนที่จะเตะไปที่ขาซ้ายของฮันยอล จนล้มหน้าคว่ำไม่เป็นทรง




“อาจารย์ ของฉันสอนมาว่า ถ้าหากเรารู้จักคู่ต่อสู้ดีพอ เราจะชนะแม้ไม่ต้องสู้”




           ซุนเหว่ยพูดกับ คิม ฮันยอล หลังจากที่เตะเขาร่วง ฮันยอล รู้สึกเหมือนโดนดูถูก เลยพยายามลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และเริ่มจู่โจม ใส่ซุนเหว่ยแบบเดือดดาล เขาใช้ลูกเตะผสมลูกถีบในสไตล์เทควันโด้ รวมไปถึงการหมุนตัวเตะ แต่คราวนี้ซุนเหว่ย เลือกที่จะใช้วิธีบล็อคการจู่โจมทั้งหมดแทนการโยกหนีเหมือนที่เคย เขายกขา มาป้องกันลูกเตะตัดลำตัวของ คิม ฮันยอล และใช้ท่อนแขน ปัดป้องลูกเตะสูง ของคิม ฮันยอล ก่อนที่จะออกหมัด ไปที่ซี่โครงของ คิมฮันยอล หลังจากที่ซุนเหว่ย บล็อคการหมุนตัวเตะของเขาได้ และหมัดนั้น ก็ส่ง คิม ฮันยอลลงไปกองอีกครั้ง 




           ซึ่งจริงๆแล้วหมัดนั้น มันไม่ได้มีพลังรุนแรงอะไรมากมาย หากแต่มันถูกปล่อยมาในจังหวะที่ คิม ฮันยอลพึ่งจะถูกบล็อคลูกเตะของเขา ทำให้เขาไม่อยู่ในสภาพที่สามารถป้องกัน หรือแม้แต่เกร็งรอได้เลย




“นายออกอาวุธ อย่างสิ้นเปลืองเกินไป หลายๆท่าที่นายทำ แม้จะสวยงาม แต่ไร้ผล”


“เพราะคนที่เหนื่อยคือคนที่โจมตี และตอนนี้นายคงจะเริ่มเจ็บขา ที่ถูกชั้นใช้ส่วนแข็งของร่างกายอย่างกระดูกส่วนท่อนแขน และขาบล็อคเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมันทำให้นายรู้สึกเหมือนกำลังเตะท่อนไม้อยู่”


          ซุนเหว่ยสั่งสอน คิม ฮันยอล ที่เก็บความแค้นไว้เต็มอก จนแทบจะกระอักออกมาเป็นความโกรธ คิม ฮันยอล ตะโกนออกมาด้วยความบ้าคลั่ง ก่อนที่พุ่งไปกระโดดหมุนตัวเตะใส่ ซุนเหว่ยอีกครั้ง เมื่อเห็นดังนั้น ซุนเหว่นก็กระโดดถอยหลังเพื่อหลบการโจมตี และด้วยความเหนื่อยล้า และอาการช้ำบริเวณขาของคิม ฮันยอล ทำให้เขาเสียการทรงตัวหลังจากการหมุนเตะ ไปชั่วขณะหนึ่ง และนั่นก็นานพอ ที่จะทำซุนเหว่ยใช้ท่าเผด็จศึกของเขา ซุนเหว่ยกระโดดพุ่งตัวออกมาจากจุดที่เขายืนอย่างรวดเร็ว 




           “ฮวาซ่าาาาาาา!!” เขาตะโกนเสียงแหลมออกมา ก่อนที่จะส่งพลังทั้งหมดของร่างกายไปที่เท้าข้างขวาในขณะที่ตัวเขาลอยอยู่บนอากาศจากการกระโดดไปข้างหน้า เขาใช้เท้าซ้ายเพียงข้างเดียวในการยืนลงบนพื้น เพื่อให้มันเป็นหลักที่มั่นคงห่างจากตัวของคิมฮันยอลประมาณ 1ฟุต ก่อนที่จะยืดขาขวา และส่งฝ่าเท้าตรงไปที่หน้าออกของ คิม ฮันยอล อย่างรุนแรง ตัวของฮันยอลพุ่งกระเด็นไปจนสุดขอบเวที จนหน่วยปฐมพยาบาล ต้องเข้ามาประคองเอาไว้




“และผู้ชนะ ได้แก่!!”
“ซุนเหว่ย!!!”




            เสียงของกรรมการประกาศดังลั่น ถึงชัยชนะของซุนเหว่ย เขาเดินไปทำความเคารพคนดู ที่ส่งเสียงปรบมือและคณะกรรมการที่ด้านล่าง ก่อนที่จะเดินลงจากเวทีไป ในตอนแรกที่ชื่อของเขาถูกประกาศขึ้น เขาเป็นเพียง คนจีน ที่ดูท่าทางไม่น่าจะได้ความ แต่ ในตอนนี้ เขากำลังเดินลงเวทีในฐานะของ “ผู้ชนะ” 
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Wed Mar 04, 2020 10:51 am
ตอนที่ 1: ราชสีห์อรุณ


"อาเหว่ย" 

          เสียงของชายท่าทางสุขม เรียกลูกศิษย์คนสนิทของเขา หากดูจากภายนอก ชายคนนี้อายุไม่น่าจะถึง50ปี ผมยาวๆ ของเขายังดำสนิทไร้ซึ่งผมหงอก หนวดเคราของเขาถูกโกนอย่างเรียบเนียน ผิวพรรณขาวใสผุดผ่อง ราวกับเด็กแรกเกิด เขาใส่ชุดคลุมยาวแบบจีนและนั่งอยู่ในสำนักมวยของเขาที่เป็นเพียงบ้านไม้เรือนจีนแบบเก่าดั้งเดิม บ้านเก่าๆหลังนี้ตั้งอยู่บนภูเขาไท่ซาน* ในส่วนที่ห่างไกลจากทั้งผู้คนและนักท่องเทียว ที่แห่งนี้มีหมู่บ้านและชุมชนเล็กๆตั้งอยู่ สำนักมวยเล็กๆแห่งนี้ จึงเปรียบเสมือน โรงเรียนเตรียมอนุบาลของเด็กๆในหมู่บ้านก่อนที่พวกเขาจะไปเรียนต่อในเมือง หรือศิษย์บางคนที่อยู่ฝึกฝนวิชาและร่ำเรียนต่อไปยาวๆก็มีเช่นกัน

          ชายผู้เป็นอาจารย์นั่งมองดูใบไม้กับสายลมที่ปลิดปลิว และสะบัดพัดขนนกไปพร้อมๆกับจิบชาด้วยอารมณ์สุนทรีย์ เบื้องหน้าของเขาคือ ลูกศิษย์นามว่า "ซุนเหว่ย" ที่กำลังฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น  และเมื่อเขาได้ยินผู้เป็นอาจารย์เรียก เขาก็หยุดซ้อมและเดินมาหาผู้เป็นอาจารย์ทันที

"ครับ ท่านอาจารย์" ลูกศิษย์คนสนิทรีบขานรับ
"ในความคิดของเจ้า เจ้าว่าสำนักของข้าเก่าและล้าสมัยเกินไปแล้วหรือไม่" ผู้เป็นอาจารย์ถาม
"ข้าน้อย ไม่แม้แต่จะกล้าคิดเช่นนั้นเลยครับ ท่านอาจารย์" ซุนเหว่ยรีบตอบ
"ฮ่า ฮ่า เจ้ายังอ่อนหัดนัก" ผู้เป็นอาจารย์ยิ้มออกมาพร้อมกับตำหนิลูกศิษย์
"หากข้าพูดอะไรผิด ขอท่านอาจารย์ชี้แนะข้าด้วย" ซุนเหว่ยรีบคำนับหลังจากถูกต่อว่า
"อาเหว่ย เจ้าเห็นสายลมเหล่านี้หรือไม่? สายลมเหล่านี้เคลื่อนที่ไปทั่วทุกแห่งไม่มีหยุด"
"ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกล้าสามารถซักเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถกักเก็บสายลมเหล่านี้ให้เป็นของเจ้าได้"
"และมันก็จะพัดผ่านเจ้าไปเฉกเช่นกับทุกๆคน"
"ข้าไม่อาจอยู่ค้ำฟ้า"
"เจ้าก็เหมือนกัน" 

             ผู้เป็นอาจารย์พูดอย่างใจเย็นกับลูกศิษย์ของเขา เมื่อซุนเหว่ยได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกเศร้าเมื่อต้องคิดว่า สุดท้ายแล้ววันที่อาจารย์ผู้เป็นที่รักต้องจากเขาไปจะต้องมาถึงในซักวัน ไม่เพียงแต่วิชาความรู้และวิชาการต่อสู้ อาจารย์ท่านนี้ยังสอนหลักความคิดและสัจธรรมให้แก่เขาอีกด้วย

"เจ้าร่ำเรียนกับข้ามาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก ฝีมือของเจ้าน่ะข้ารู้ดี"
"แต่เมื่อโลกหมุน คนก็ต้องหมุนตาม ต่อให้เจ้าเรียนกับข้าไปอีกกี่ปี เจ้าก็ไม่ได้วุฒิการศึกษา เพราะสำนักข้ามันก็แค่บ้านเก่าๆของชายแก่อย่างข้า"
"ไม่จริง ท่านอาจารย์ยังหนุ่มยังแน่น" ซุนเหว่ยรีบค้าน
"ข้าไม่คิดว่าชายอายุเฉียด100ปีแบบข้าจะเรียกว่าหนุ่มได้หรอกนะ"
"ตะ แต่…." 

             ซุนเหว่ยรู้ดีว่าที่อาจารย์ของเขาพูดมาล้วนมีเหตุผล ทำให้เขาไม่สามารถพูดโต้แย้งได้ แม้อาจารย์ท่านนี้จะยังดูหนุ่มแน่นเหมือนคนอายุ40กลางๆค่อนท้าย แต่อายุอานามที่แท้จริงนั้นก็มากถึงเกือบๆ100ปีแล้ว หากแต่ที่ยังคงความอ่อนเยาว์เอาไว้ได้ ก็เป็นเพราะอาจารย์ท่านนี้สำเร็จวิชากำลังภายในอย่างถ่องแท้ ทำให้สามารถควบคุมระบบการทำงานของอวัยวะภายในได้ แต่ถึงจะควบคุมได้ดีแค่ไหน ก็ไม่มีวิชาใดในโลก ที่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้อยู่ดี

"กว่าที่ข้าจะมีทุกวันนี้ ข้าต้องต่อสู้มานับไม่ถ้วน เจอกับวิชาการต่อสู้มาแทบจะทุกแขนงบนโลก"
"หากเจ้ายังมัวแต่ยืดยาดอยู่ที่นี่ เจ้าจะไม่ได้วุฒิการศึกษาเหมือนคนอื่นเขา และชีวิตของเจ้าหลังจากนี้ก็จะลำบาก”
“ยุคสมัยเปลี่ยนไป มีฝีมือแต่ไม่มียาไส้ก็ไร้ความหมาย คนเป็นอาจารย์อย่างข้าคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่"
"ฟังนะอาเหว่ย นี่คือคำสั่งในฐานะอาจารย์ ที่ข้าจะมอบให้เจ้า" ผู้เป็นอาจารย์พูดอย่างใจเย็น
“ซุนเหว่ย น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์” ซุนเหว่ยโค้งคำนับ
"ต่อจากนี้ไป เจ้าจงออกไปเรียนรู้การใช้ชีวิตที่โลกภายนอกซะเถิด จงศึกษาในสิ่งที่เจ้าต้องรู้ และจงนำวุฒิการศึกษาของเจ้ากลับมาให้ข้าดู!! ถ้าเจ้าทำไม่ได้! ไม่ต้องกลับมา!!"

-------------------------

*ภูเขาไท่ซาน ตั้งอยู่ที่มณฑลซานตง ถือเป็นขุนเขาแห่งแรกของจีน มีธรรมชาติที่สวยงาม และได้รับจากยกย่องเป็นมรดกโลก จากยูเนสโก้ ด้วย

-----------------------

            เสียงคำสั่งของอาจารย์ ยังดังวนเวียนอยู่ในหัวของซุนเหว่ยซ้ำไปซ้ำมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเผชิญโลกภายนอก และด้วยความช่วยเหลือของ ศิษย์พี่ท่านหนึ่งของเขา ที่เลื่อมใสในตัวอาจารย์ไม่ต่างกัน ทำให้คนที่ไม่มีแม้แต่วุฒิการศึกษาชั้นอนุบาลแบบเขา สามารถสอบเทียบชั้นระดับ ม.ต้น ได้

            หลังจากที่ประลองเสร็จ ซุนเหว่ยก็ได้รับการคัดเลือกเข้าเรียน ตามที่เขาคาดเดาเอาไว้ เพราะว่าในวันนี้มีไม่เยอะคนนักที่สามารถน็อคคู่ต่อสู้ในการประลองได้ แม้ว่าซุนเหว่ยอาจจะมีปัญหาเรื่องการอ่านตัวหนังสือญี่ปุ่นบ้าง แต่อาจารย์ของเขาก็สอนวิธีสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ซุนเหว่ยพอจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง ทำให้ในการกรอกเอกสาร ซุนเหว่ยต้องใช้วิธีถามเหล่าเจ้าหน้าที่รับสมัครเอาแทบจะทุกขั้นตอน

             หลังจากกรอกเอกสารเสร็จเรียบร้อย ซุนเหว่ยก็เดินมาหา ศิษย์พี่ของเขา ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ช่วยเรื่องการสอบเทียบ เขาเป็นคนรูปร่างท้วม อายุประมาณ35ปี ใส่แว่นหนาเตอะ เขาขับรถพาซุนเหว่ยมาส่งที่หอพักแห่งหนึ่งในย่านคนจีนที่เมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้ ด้วยความที่อาจารย์ของเขาเปิดสำนักมานาน อีกทั้งเขายังสอนทั้งหนังสือและวิชาต่อสู้ให้เด็กยากไร้มากมาย เหล่าลูกศิษย์ที่เติบโตจนได้ดิบได้ดีในอนาคต จึงไม่ลืมที่จะกลับมาตอบแทนบุญคุณของอาจารย์ เจ้าของที่พักนี้ก็เป็นศิษย์ของอาจารย์เช่นกัน ทำให้ซุนเหว่ยได้พักที่นี่ฟรี และอาจารย์ของเขาก็มีเงินเก็บมากพอจะจ่ายค่าเทอมให้ซุนเหว่ยได้สบายๆ แต่ค่ากินค่าอยู่นั้น หลังจากผ่านไปแล้ว2เดือน ซุนเหว่ยต้องหาเอง

"ถึงแล้ว อาเหว่ย" เขาพูดก่อนจะจอดรถ
"ขอบคุณ ศิษย์พี่มาก ข้าน้อย ไม่รู้จะตอบแทนยังไง" ซุนเหว่ยโค้งคำนับ
"เอาน่าๆ เจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ เราก็เหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆกันนั่นแหละ มาเถอะๆ ไปดูห้องกัน" 

             หลังจากพูดเสร็จ ผู้เป็นศิษย์พี่ก็พาซุนเหวี่ยงขึ้นไปดูห้องพัก มันเป็นตึกขนาดประมาณ5ชั้น แต่ละชั้นมีประมาณ 5ห้อง ห้องของซุนเหว่ยอยู่ชั้น5 อยู่เกือบริมสุดฝั่งขวาหากยืนหันหน้าเข้าหาประตูห้อง ในส่วนของประตูห้องเป็นประตูไม้สีเขียวน้ำทะเลทุกห้อง สภาพอาจจะดูไม่ใหม่นัก แต่ก็ไม่ถึงกับทรุดโทรม

             ส่วนภายในห้อง จะเป็นสีขาว เป็นห้องขนาดเล็ก ประมาณ 3x3เมตร เท่านั้น หักส่วนที่เป็นห้องน้ำออกไป ก็เหลือพื้นที่ใช้งานน้อยลงไปอีก ด้านหลังของห้อง มีระเบียงที่สามารถเปิดประตูไปตากผ้าได้ ซึ่งสำหรับซุนเหว่ย เพียงแค่นี้เขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้สบายๆแล้ว

              หลังจากที่ดูห้องเสร็จ เขาก็บอกลาศิษย์พี่ ผู้ที่มีธุระต้องไปทำต่อ จากนั้นเขาก็เริ่มจัดเรียงข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง กว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงพรบค่ำแล้ว ซุนเหว่ย นั่งลงบนเตียง พร้อมกับถอนหายใจ เขารู้ดีว่าการใช้ชีวิตในต่างแดนคงเป็นเรื่องยาก โชคดีที่อาจารย์ของเขา พอจะสอนภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้นให้เขาไว้บ้าง เลยพอจะสื่อสารได้ 

"ก่อนไปหาข้าวเย็นกิน ทำสมาธิหน่อยดีกว่า"

             ซุนเหว่ยพูดกับตัวเอง พร้อมกับเดินไปหยิบเครื่องเล่นเทปของเขามาเปิด มันเป็นเพลงบรรเลงข้าๆสไตล์จีน มันเป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนกำลังนอนเล่นอยู่ในป่าไผ่ ใกล้ๆลำธาร พอเพลงดังขึ้น ซุนเหว่ย ก็เริ่มขยับตัวช้าๆ ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่าทางของเขาอ่อนไหวและเบาหวิวราวกับปุยนุ่น ดูคล้ายกับการร่ายร่ำ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เรียกว่า "การรำไทเก๊ก" ศาสตร์การต่อสู้ที่ต้องฝึกทั้ง "สมาธิ" และ "วิทยายุทธ" ในเวลาเดียวกัน 

             โดยหลักของไทเก๊กนั่น หัวใจสำคัญคือ “ใช้อ่อนสยบแข็ง” ซึ่งจะเน้นไปที่การควบคุมลมปราณภายในร่างกาย กักไว้ และ ปล่อยออกมาในเวลาที่ต้องการ เปรียบง่ายๆเหมือนลมปราณเป็นน้ำ และร่างกายของเราเป็นสายยาง เมื่อเราปล่อยตามปรกติ น้ำก็จะไหลตามสายยางแบบเบาๆอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอะไรพิเศษ

             แต่ถ้าเราเอานิ้วไปอุดสายยางเอาไว้แค่เพียง2-3 วินาที เมื่อเราปล่อยนิ้ว น้ำที่เคยไหลเบาๆก็จะพุ่งออกไปอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นการฝึกฝนลมปราณจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมวยไทเก๊ก และวิธีที่ใช้ฝึกฝนลมปราณได้ดีที่สุดก็คือ การ "รำไทเก๊ก" นั่นเอง

"สูดดด หายใจเขัา "
"ฟู่~~ หายใจออก "
"สูดดดด หายใจเข้า "
"Hello"
"ฟู่~~ หายใจออก"
"I AM ELIAS"
"สูดดด หายใจเข้า"
"WHO!!!"
"ฟู่! หายใจออก!!!"
"WANT TO WALK!!!!"
"สูดดด!!! หายใจเข้า!!! "
"WITH!!!"
"ฟู่!!! หายใจออก!!!"
"ELIAS!!"
"หายใจไม่ออกแล้วโว้ย!!!!!!"

               สมาธิของซุนเหว่ยถูกทำลายลงอย่างพังพินาศจากเสียงรบกวนจากห้องข้างๆ เสียงของมันดังทะลุกำแพงกั้นห้องออกมาอย่างไม่ปราณี ซุนเหว่ยพยายาม จะใจเย็น และเริ่มทำสมาธิอีกครั้ง

"หายใจ เข้าพุท"
"หายใจออก โธ"
"พุท"
"โธ"
"On ThIS dAy!!"
"พุท!"
"I SeE ClEarLY!!"
"โธ!"
"THe RaTEd R!!!! Su้PP~~~!!" 
"พู๊ท~~~~ เย้ย!!!!"ซุนเหว่ยถึงกับเสียสมาธิจนเคลิ้มไปด้วย 
"อะไรกัน เปิดเสียงดัง ไม่มีความเกรงใจกันเลย ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง! ไม่ไหวแล้ว!!"

               ซุนเหว่ยฮึดฮัด พุ่งตัวออกจากห้องเพื่อไปต่อว่าห้องข้างๆทึ่เป็นห้องริมสุดถึงมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เขาเคาะประตูด้วยอารมณ์โกรธ แม้ว่าซุนเหว่ยจะพยายามฝึกระงับความโกรธมามากแค่ไหน แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไป

"ปังๆๆๆๆ!!" ซุนเหว่ยเอามือทุบประตู
"นี่!! เจ้าน่ะ เบาเสียงหน่อยสิ!! หัดเกรงใจกันบ้าง!!" 

              ซุนเหว่ยต่อว่าผู้ที่อาศัยอยู่ห้องข้างๆเขา ไม่นานนักท่ามกลางเสียงที่ดังออกมาจากข้างในนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า จากข้างในเดินมาที่ประตูอย่างรวดเร็ว ลูกบิดประตูถูกบิดออก ประตูไม้สีเขียวน้ำทะเลค่อยๆแง้มออกมา เจ้าของเสียงรบกวนเผยโฉมให้ซุนเหว่ยได้เห็น เธอเป็นสตรีที่รูปร่างดี ส่วนสูงเกือบๅ170เซนติเมตร เธอใส่ชุดวอร์มสีดำ ใบหน้าของเธอมีความผสมผสานกันของความเป็นตะวันตก และตะวันออกเข้าด้วยกัน ผมของเธอเป็นสีน้ำตาลยาวถึงแค่บริเวณคอเท่านั้น สามารถพูดได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงผมสั้น

“มีอะไรหรอคะ?” เจ้าหล่อนถามพูดมาเยือนอย่างซุนเหว่ย

“หากเจ้าอยากเป็นสุภาพบุรุษ จงอ่อนหวานกับสุภาพสตรีเข้าไว้” ทันทีที่ได้รู้ว่าคู่กรณีเป็นสตรี เสียงของอาจารย์ก็ดังขึ้นในใจของซุนเหว่ยอีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยากต่อว่าอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ในฐานะของสุภาพบุรษ ซุนเหว่ยจะต่อว่าสตรีเพศอย่างหยาบคายไม่ได้ เขาจึงพยายามรวบรวมสติและคิดคำศัพท์ที่สละสลวยที่สุดเพื่อบอกกล่าว

“อ่ะ แฮ่ม” เขากระแอมเล็กน้อย
“แม่นาง ข้าชื่อว่า ซุนเหว่ย อาศัยอยู่ข้างห้องของท่าน” ซุนเหว่ยแนะนำตัวพร้อมทำมือคำนับแบบจีน
“อ๋อ ชั้น นานาซากิ อลิสค่ะ เรียก อลิส ก็ได้” 

              สาวผมสั้นนามว่าอลิสพูดพร้อมยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อทำการจับมือ เป็นการทักทายในรูปแบบของตะวันตก แต่ซุนเหว่ยได้รับการสั่งสอนมาว่า “การแตะต้องตัวสตรีแปลกหน้านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ” เขาจึง รู้สึกสับสน ว่าควรจะทำตัวยังไงกับสถานการณ์อันน่ากระอั่กกระอ่วนนี้ดี 

“เอ่อคือว่า ทะ ท่านเป็นสตรี ข่ะ ข้า ไม่อาจ”

“หมับ”

             ยังไม่ทันจะพูดเสร็จ อลิส ก็เอามือของเธอมาจับมือของซุนเหว่ย ที่กำลังเลิ่กลั่กเต็มที่ หากไม่นับมือของยายเฒ่า ในหมู่บ้านที่สำนักของอาจารย์ซุนเหว่ยอยู่ นี่จะเป็นการจับมือสตรีเพศเป็นครั้งแรกในชีวิตของซุนเหว่ย

“นั่นเจ้าจะทำอะไรน่ะ!!?” ซุนเหว่ยพูดออกมาอย่างเลิ่กลั่ก
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” อลิสพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ข่ะ ข้าก็ยินดี” ซุนเหว่ยพูดอย่างเคอะเขินแต่พยายามสำรวมไว้
“ว่าแต่มานี่ มีอะไรหรอคะ?” อลิสรีบ เข้าเรื่อง
“อ๋อ! เรื่องนั้นน่ะ!”
“คือว่า เสียงจากห้องแม่นางน่ะ ดังเข้ามาในห้องข้า จนไม่มีสมาธิในการฝึก” 
“รบกวนท่านเบาเสียงหน่อยได้หรือไม่?” ซุนเหว่ยพูดอย่างสุภาพ
“อ๊ะ! จริงหรอคะ! ขอโทษนะคะ ชั้นนึกว่าผนังมันจะกันเสียงได้ซะอีก” อลิสรีบกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ
“ไม่เป็นไรๆท่านไม่ต้องขอโทษข้าหรอก เพราะข้าก็มาเคาะประตูท่านอย่างเสียมารยาทเช่นกัน ข้าขอแค่จากนี้ไปก็เบาๆเสียงหน่อยก็พอ” ซุนเหว่ยพูดด้วยความรู้สึกยินดี ที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนนิสัยแย่อะไร

“กรอกกกกกกกกกกก” 

               ด้วยความซุนเหว่ยใช้เวลาตอนช่วงบ่ายไปกับการจัดห้อง หลังจากนั้นก็ทำสมาธิ จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ทานอาหารเย็นเลย และดูเหมือนลำไส้กับกระเพาะอาหารของเขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ จนต้องส่งเสียงประท้วงเจ้าของร่างกายออกมา และนั่นทำให้ซุนเหว่ยรู้สึกอับอายอย่างมาก

“อ๊ะ” อลิส ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน
“ก่ะ! ก่ะ กบแถวนี้ ร้องเสียงดังซะจริง!” ซุนเหว่ยพูดกลบเกลื่อนด้วยความอาย
“อ๊าาา นั่นสินะคะ” อลิสพยายามพูดไม่ให้ซุนเหว่ยอาย
“คือว่า.. ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”
“ให้ฉันเลี้ยงอาหารเย็นเป็นการไถ่โทษเถอะนะคะ” 

              อลิสที่ยังรู้สึกผิดอยู่อยากแสดงความรับผิดชอบในความผิดของเธอ ซึ่งซุนเหว่ยที่พึ่งจะมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่รู้ที่รู้ทางมากนัก การได้คนในท้องที่มาแนะนำร้านอาหาร ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการปรับตัว เขาจึงตอบตกลงในทันที แต่หลังจากที่เดินคุยกันมาซักพัก ซุนเหว่ยก็ได้รู้ความจริงที่ว่า สาวผู้เชิญชวนเขาก็พึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ก่อนซุนเหว่ยแค่ไม่กี่วัน 

              ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้เป็นชุมชนของชาวจีน และเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาหารจีนเลย เธอพาซุนเหว่ยมาเข้าร้านขายเนื้อสุนัขและเปิบพิศดาร โชคดีที่ซุนเหว่ยไม่ใช่คนชอบกินของแบบนั้นเลยปฎิเสธได้ทัน และบอกความจริงที่น่าสะพรึงนี้ให้อลิสฟัง จนสุดท้ายกลับกลายเป็นซุนเหว่ยต้องเป็นคนแนะนำเรื่องอาหารจีนให้เธอแทน และสุดท้ายทั้งคู่ก็มาจบที่ร้านบะหมี่แถวๆนั้น

“นี่ชั้นเกือบจะกินเนื้อสุนัขเข้าไปแล้วหรอเนี่ย ถ้าไม่ได้คุณช่วยบอกต้องแย่แน่ๆ” อลิสบ่นกับตัวเอง
“เพราะว่าแม่นาง รีบร้อนเกินไปยังไงล่ะ”
“คราวหลังท่านต้องทำอะไรให้ช้าลงและดูให้ดีๆ อาจารย์ของข้าบอกว่า ยิ่งช้าก็ยิ่งชัด” ซุนเหว่ยพูดพร้อมๆกับโซ้ยบะหมี่อย่างเมามัน
“จริงสิ เมื่อตอนที่คุยกันตรงหน้าประตูห้องชั้น เห็นคุณบอกว่ากำลังฝึกอยู่”
“คุณกำลังฝึกอะไรอยู่หรอ?” อลิสถามด้วยความสงสัย
“อ๋อ ข้าฝึกวิชาการต่อสู้น่ะ อาจารย์ข้าสั่งให้ข้ามาเรียนให้จบ ถ้าเรียนไม่จบห้ามข้ากลับไปที่สำนัก”
“ข้าก็เลยต้อง ฝึกฝนอยู่ตลอด เพื่อที่จะได้เรียนจบไงล่ะ” ซุนเหว่ยเล่าเรื่องของเขาให้อลิสฟัง
“เดี๋ยวก่อนนะ” อลิสพูดเหมือนคิดอะไรได้ พร้อมกับจ้องเขม้งไปที่ซุนเหว่ย
“ท่ะ.. ท่านมองข้าแบบนี้ มีอะไรหรือท่าน?” ซุนเหว่ยรู้สึกสงสัยปนสยองขวัญหน่อยๆ

             หลังจากที่ฟังซุนเหว่ยเล่า อลิสก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก จริงๆแล้วตั้งแต่แรก เธอก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าของซุนเหว่ยที่ไหนซักแห่ง คนที่ผิวขาวจนสังเกตเห็นได้แม้อยู่ในกลุ่มของคนผิวขาวด้วยกันเองแบบซุนเหว่ยไม่ใช่คนที่หาได้ง่ายๆ และด้วยอายุที่ไล่เรี่ยกัน ทำให้อลิสนึกถึงคนๆนึงขึ้นมา
  
“ขอโทษนะคะ ขอชั้นถามได้มั้ยว่าคุณเรียนที่ไหน?” อลิสถามอย่างตรงไปตรงมา
“เอ.. บา...ตะ...อะไรซักอย่าง?…? รึเปล่านะ?”
“ข้าจำตัวสะกดไม่ได้แน่ชัดเท่าไร เอาเป็นว่าเป็นโรงเรียนที่มีการประลองกัน”
“แล้วข้าก็เอาชนะมาได้” ซุนเหว่ยพูดให้อลิสฟัง
“ใช่จริงด้วย!!” อลิสอุทานออกมาเสียงดัง
“มีอะไรหรือ ท่านหญิง?!” ซุนเหว่ยรู้สึกตกใจ
“นี่! ชั้นก็เรียนที่นั่นเหมือนกัน!” อลิสพูดด้วยท่าทีดีใจ
“จริงรึท่าน!?”
“จริงสิ ดีจังเลยนะ ชั้นกำลังกังวัลอยู่พอดี เพราะว่าไม่มีคนรู้จักเลย” อลิสพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ สวรรค์กำหนด ยินดีที่ได้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับท่าน” ซุนเหว่ยพูดอย่างร่าเริง

                หลังจากนั้น ศิษย์ร่วมสำนักทั้ง2คน ก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว และเล่าเรื่องราวของทั้งคู่ให้กันและกันฟัง อลิส เป็นลูกครึ่ง ญี่ปุ่น-อเมริกา ครอบครัวของเธอมีความชื่นชอบในศาสตร์ของมวยปล้ำ ทำให้อลิสฝึกมวยปล้ำมาตั้งแต่เด็กๆ และเคยชนะได้รางวัลรองชนะเลิศมาด้วย ด้วยความที่ครอบครัวของเธอคลั่งไคล้มวยปล้ำมาก ทำให้ทั้งพ่อและแม่ต้องเดินทางไปดูมวยปล้ำตามอีเว้นท์ต่างๆอยู่ตลอด แล้วทั้งพ่อและแม่ของเธอก็ถือว่าเป็น บุคคลที่ได้รับความน่าเชื่อถือในการเขียนคอนเท้นและข่าวต่างๆเกี่ยวกับมวยปล้ำอีกด้วย ทำให้อลิสที่อยากจะเรียน ม.ปลาย ที่บาตะมาโฮว ต้องมาอาศัยอยู่คนเดียวที่ย่านคนจีนนี้ เพราะหอพักอยู่ใกล้กับโรงเรียนที่สุด แม้ว่าคนที่ไม่ใช่คนจีนส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยอยากมาอยู่ที่นี่ก็เถอะ แต่สำหรับอลิส เธอไม่มีปัญหาในการอยู่ที่นี่

“เมื่อกี้ท่านหญิงบอกข้าว่า มวยปล้ำอาชีพเป็นการแสดงใช่หรือไม่?” ซุนเหว่ยถาม
“ใช่” อลิสตอบ
“แต่มวยปล้ำสมัครเล่นกลับเป็นของจริง?” ซุนเหว่ยยังสงสัย
“นั่นก็ใช่” อลิสตอบตามเดิม
“แล้วที่ท่านอยากเป็นก็คือ นักมวยปล้ำอาชีพ?” ซุนเหว่ยถามต่อ
“ถูกต้อง” อลิสพูดพร้อมชี้นิ้วมาที่ซุนเหว่ย
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านหญิงถึงต้องฝึกมวยปล้ำที่เป็นของจริงด้วยล่ะ?”
“ในเมื่อมันเป็นการแสดง มีผลแพ้ชนะกำหนดมาแล้ว ก็ไม่ต้องฝึกของจริงก็ได้นี่?” ซุนเหว่ยยังคงสงสัย

“อืมม คนส่วนใหญ่ก็คิดแบบนี้แหละ” อลิสพูดพร้อมๆกับรอยยิ้ม
“ถ้างั้นชั้นขอถามคุณซุนกลับบ้างแล้วกัน” อลิสหันมามองซุนเหว่ยด้วยสายตาจริงจัง
“คุณซุนคิดว่า บรูซ ลี เป็นนักแสดงที่ดีมั้ย?” อลิสถาม
“แน่นอน เขาเป็นสุดยอดตำนานของจีนเลย” ซุนเหว่ยตอบ
“แล้วในการต่อสู้จริงๆ บรูซ ลี เก่งรึเปล่า?” อลิสถามต่อ
“แน่นอน ศาสตร์ จีท คุน โด้* ที่เขาคิดค้นขึ้นมา ยอดเยี่ยมมาก” ซุนเหว่ยตอบ
“เห็นมั้ยล่ะ ที่ บรูซ ลี เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมได้ ก็เพราะว่าเขาเก่งจริงๆ ไม่ใช่แค่แสดงว่าเก่ง” อลิสพูดพร้อมรอยยิ้ม
“อา จริงด้วย! แบบนี้เองสินะ ข้าเข้าใจท่านหญิงแล้ว” 

              หลังจากทานมื้อเย็นกันเสร็จ เรียบร้อย ทั้งสองคนก็พากันเดินกลับไปที่หอพัก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปที่ห้องของตัวเอง ซุนเหว่ย กลับไปฝึกรำไทเก๊กอีกไม่นานนัก ก่อนจะอาบน้ำและเข้านอน ส่วนอลิสก็ดูมวยปล้ำที่เธอดูค้างไว้จนจบด้วยเสียงที่เบาลง หลังจากนั้นก็หลับด้วยความเหนื่อยล้า วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก และพวกเขาทั้งคู่พร้อมแล้วสำหรับการเริ่มต้นฉากใหม่ของชีวิต

------------------------

*จีท คุน โด้ หรือ Jeet Kuen do เป็นวิชาการต่อสู้ที่คิดค้นขึ้นโดย “บรูซ ลี” นักแสดงชื่อดัง ที่พัฒนาวิชานี้มาจาก “มวยหย่งชุน” ของ “ยิปมัน” ปรมาจารย์ชื่อดังนั่นเอง

------------------------


-มีต่อ


Last edited by IamKurtCobian on Wed Mar 04, 2020 4:36 pm; edited 2 times in total
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Wed Mar 04, 2020 10:53 am
“ดูนั่นสิ” 

             ภายในหอประชุมของโรงเรียน เสียงของเหล่านักเรียนปี1ที่ถูกเรียกมารวมตัวเพื่อทำการปฐมนิเทศ ต่างซุบซิบนินทากันหลังจากที่ชายคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทสีกรมท่า กางเกงขายาวสีเดียวกับเนคไท และที่เนคไทยังมีขีดสีทองคาดเฉียงๆบริเวณปลายเทคไท1ขีด ความหมายของขีดก็คือ “ชัันปี” นั่นเอง  ถ้ามี 1 ขีด ก็เท่ากับ "ปี1" โดยที่ชายคนนี้เป็นชายในวัยเดียวกันกับนักเรียนคนอื่นๆ รูปร่างสูงใหญ่ ผมของเขาเป็นสีส้มเหมือนฤดูใบไม้ร่วง แววตาจริงจังและมุ่งมั่นจนเป็นเอกลักษณ์ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้และไร้ซึ่งคนที่จะมานั่งข้างๆ

“เมื่อวานชั้นเห็นเขาในข่าวด้วยแหละ”
“ใช่ ทายาทคนสุดท้องของซากุราบะ รึเปล่า?”
“ตระกูลนั้นเป็นใหญ่แถบฮอกไกโดนี่?”
“ทำไมถึงมาเรียนที่นี่กันนะ?”
“ชั้นได้ยินว่าพ่อเขากำลังจะตาย และพวกพี่ชายเขาก็ต่อสู้กันเองนี่”
“ตระกูลใหญ่ขนาดนั้น ชั้นว่าเขาต้องน่ากลัวแน่ๆเลย”

              เสียงลือเสียงเล่าอ้างแพร่สะพัด อย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง หากแต่ชายจากตระกูลดังหาได้สะทกสะท้านไม่ เพราะตลอดชีวิตที่ต้องแบกรับนามสกุลนั้นไว้ มันได้ทำให้เขาชาชินกับเรื่องพันธ์ุนี้แล้ว และสำหรับเขา เป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการ พิสูจน์ตัวเองเพื่อกอบกู้ตระกูลที่เขารัก และยุติสงครามภายในนั่นเสียที 

“ขอนั่งตรงนี้ได้มั้ยคะ?” เสียงของหญิงสาวผมสั้น พูดขึ้น
“อ๋อ ได้ครับ” ชายผมสีส้มพูดแบบนิ่งๆ

            ทันทีที่ชายผมสีส้มพูด หญิงสาวที่ทิ้งเครื่องแบบเหมือนเขาทุกอย่าง เพียงแต่เธอใส่กระโปรง ก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเขาทันที ถัดจากหญิงสาวไปดูเหมือนจะมีหนุ่มผิวสีขาวที่ติดตามเธอมา พยายามจะแทรกตัวเข้ามานั่งด้วย แต่ดูเหมือนเขาจะมีปัญหาอะไรเล็กน้อย

“ท่านขยับไปอีกสิ ข้าจะนั่งข้างๆพี่ชายท่านนี้เอง” หนุ่มผิวขาวผู้พูดกับสาวผมสั้น
“ทำไมล่ะ?” เธอถามหนุ่มผิวขาว
“เป็นสตรี แต่มานั่งแทรกกลางผู้ชายถึงสองคน มันจะดูไม่งามนะท่าน” หนุ่มผิวขาวอธิบาย
“คุณซุนนี่ เคร่งเรื่องวัฒนธรรมจังเลยนะคะ” 

              หญิงผมสั้นพูดด้วยความฉงนสงสัยในความหัวโบราณของชาวผิวขาวแต่ก็ยอมขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่งอยู่ดี นั่นทำให้หนุ่มผิวขาวได้นั่งข้างๆกับชายผมสีส้มตามที่เขาต้องการ

“ขอบใจท่านมากนะพี่ชาย ที่ไม่ถือสาพวกเรา” หนุ่มผิวขาวพูดอย่างจริงใจ
“อืมไม่เป็นไรหรอก แล้วก็ ชั้นชื่อ ซากุราบะ จิน อายุน่าจะเท่ากัน ไม่ต้องเรียนพี่ชายก็ได้” ชายผมสีส้มพูด
“โอ้ อย่างนั้นเราก็เป็นสหายกัน ข้าชื่อ ซุนเหว่ย ยินดีที่ได้พบท่านจิน” ซุนเหว่ยพูด
“ส่วนชั้น ชื่อ นานะซากิ อลิส ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” 

              อลิสพูดเสร็จก็ยื่นมือไปจับกับมือจิน ที่ยื่นมือมาจับเช่นกัน แม้ว่าการกระทำนั้นจะทำให้ซุนเหว่ยรู้สึกแหม่งๆก็ตาม แต่เขาก็คงห้ามไม่ได้อยู่ดี ทั้งอลิสและซุนเหว่ย เดินทางมาโรงเรียนด้วยกัน ด้วยความที่หอพักของพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากที่โรงเรียนเท่าไร นั่งรถบัสเพียง5ป้าย ก็มาถึงที่หมายแล้ว แต่ด้วยความที่ทั้งคู่แวะกินอาหารเช้าที่ร้านอาหารฟาสฟู๊ดหน้าโรงเรียน และซุนเหว่ยก็มีปัญหากับการกินเบอร์เกอร์อย่างมาก จนเสื้อของเขาเลอะเทอะไปหมด ทำให้ทั้งคู่เข้ามาที่หอประชุมนี้ค่อนข้างสายจนเก้าอี้ส่วนใหญ่ถูกจับจองไปหมดแล้ว จะหาเก้าอี้ที่ว่าง2ตัวติดกันก็ยากเหลือเกิน โชคดีเก้าอี้2ตัวถัดจาก ซากุราบะจิน ว่างอยู่พอดี

“พวกนายสองคนมาด้วยกันหรอ?” จินถาม
“ใช่ค่ะ พวกเราบังเอิญอยู่ห้องติดกันก็เลยมาด้วยกัน” อลิสตอบ
“อ๋อ อย่างนั้นเองหรอ” จิน พูดด้วยท่าทียิ้มๆ

“เอาล่ะนักเรียนฟังทางนี้”

               ระหว่างที่ทั้ง3คน กำลังคุยกันเมื่อซักครู่ ก็มีโฆษกที่ใส่ชุดนักเรียนเช่นเดียวกับทุกๆคน แต่บริเวณแขนเสื้อของเขามีแถบสีแดงพาดอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกสถานะการเป็น “สภานักเรียน” ซึ่งต่อจากนี้จะเป็นพิธีการที่น่าเบื่อที่สุดของโรงเรียนทุกแห่ง มีการเชิญอาจารย์ และ ผู้อำนวยการมาพูดกล่าวคำต้อนรับนักเรียนใหม่ ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากรู้ว่าเขาพูดว่าอะไร แม้ว่ากายจะอยู่ในห้องประชุม แต่จิตใจของพวกเขานั้น กำลังระทึกกับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดไป นั่นก็คือ “การจัดห้องเรียน” ที่ในโรงเรียนนี้จะมีความพิเศษกว่าโรงเรียนอื่นตรง จะมีวิธีการคัดเลือกแบ่งห้องเรียน ตาม “ค่าพลัง” 

              โดยจะมีเครื่องวัดเป็นหุ่นรูปทรงมนุษย์ ที่จำลองได้สมจริงทั้งข้อต่อ น้ำหนัก และส่วนสูง และมันสามารถวัดค่าพลังที่กระทำต่อมันได้ นักเรียนจะทำยังไงก็ได้ให้คะแนนออกมาสูงที่สุด ไม่ว่าจะจับทุ่ม รัดอย่างรุนแรง หรือเตะต่อยมันก็ได้

“โดยในวันนี้เราจะได้รับเกียรติจาก สุดยอดฝีมือ มาสาธิตวิธีการคัดเลือกให้เราดู” โฆษกผู้เป็นสภานักเรียนพูดขึ้น
“ขอเสียงปรบมือต้อนรับ!!”
“เจ้าของฉายา อสรพิษหรดี!”
“อแมนด้า ซิลวา!!”

              ทันทีที่พูดชื่อจบ หญิงสาวร่างสูงใหญ่ ก็ปรากฎตัวขึ้นท่ามกลางเสียงเชียร์ เธอมีผิวสีแทนแบบชาวอเมริกาใต้ ผมของเธอเป็นสีบลอนทอง ส่วนสูงของเธอดูจากรูปร่างน่าจะสูงกว่าอลิสประมาณ4-5เซ็นติเมตร และกล้ามเนื้อของเธอก็ดูหนักแน่นเผลอๆกล้ามของเธอจะใหญ่กว่าซุนเหว่ยด้วยซ้ำ เธอใส่ชุดเครื่องแบบเช่นเดียวกับทุกคน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ บริเวณปลายของเนคไทของเธอ มีขีดคาดเฉียงๆ เป็นสีทองจำนวน 3เส้น บ่งบอกว่าเธอศึกษาอยู่ในปีที่3 และส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ “เข็มกลัดรูปดาวสีทอง” ที่โดดเด่นเป็นสง่าออกมา จนเหล่านักเรียนใหม่จ้องกันตาเป็นมัน เพราะว่าเข็มกลัดรูปดาว คือสัญลักษณ์ของระดับ “มาสเตอร์” เธอติดมันไว้ที่หน้าอกข้างซ้าย สีหน้าของเธอเรียบเฉยราวกับไร้ความรู้สึก เธอไม่รู้สึกหวาดหวั่นต่อผู้คนนับ300ชีวิตเบื้องล่างเลย เหมือนกับ นักเรียนใหม่ทั้ง300คน ไม่อยู่ในสายตาของเธอ

“รู้สึกน่าเกรงขามอย่างเห็นได้ชัดเลย…..” อลิสพูดด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“นี่น่ะหรอ..”
“ระดับ มาสเตอร์”

“เอาล่ะทุกคนตั้งใจดูนะ” 

              โฆษกพูดให้ทุกคนกลับมามีสติหลังจากความตื่นเต้นที่ได้เห็นเข็มกลัดของระดับมาสเตอร์ หลังจากที่ทุกคนเงียบ อแมนด้า ก็ตั้งสมาธิ เดินเข้าไปที่ด้านหลังของหุ่น และใช้แขนขวาของเธอรัดเข้าไปที่คอของมัน และใช้แขนซ้ายพาดมือขวาของตัวเธอเองและเอามือซ้ายไปไว้ด้านหลังศีรษะของหุ่น รวบมันนอนลงและใช้ขาทั้ง2ข้างรัดบริเวณเอวของมัน ก่อนที่จะกระดกเอวของเธอขึ้น เพื่อให้การรัดที่รุนแรงยิ่งขึ้น มาตรวัดของหุ่นจะถูกแสดงที่หน้าจอขนาดใหญ่บนเวทีในหอประชุม ตัวเลขของมันคือ “1342 คะแนน”

“Rear Naked Choke” อลิสพูดภาษาอังกฤษคำหนึ่งออกมา
“หืม? ท่านหญิงหมายความว่าอะไรหรือ?” ซุนเหว่ยไม่เข้าใจที่อลิสพูด
“มันเป็นท่าของสไตล์การต่อสู้แบบ บราซิเลี่ยน ยิวยิตสู* น่ะ” ชายนามซากุราบะ จิน ตอบแทน
“ท่านจิน ก็รู้จักวิชาของแม่นางคนนั้นหรือ?” ซุนเหว่ยถามด้วยความไม่รู้
“บราซิเลี่ยน ยิวยิตสูน่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นศาสตร์การต่อสู้แบบจับล็อคที่ดีที่สุด”
“และท่าที่เธอพึ่งใช้ไปมีชื่อว่า Rear Naked Choke”
“เป็นท่าที่ใช้รัดบริเวณคอของคู่ต่อสู้ เพื่อบีบรัดหลอดเลือดของอีกฝ่ายไม่ให้ไปเลี้ยงสมอง”
“ถ้าที่โดนไม่ใช่หุ่นแต่เป็นคนปรกติล่ะก็….”
“อาจจะหมดสติภายใน5วินาทีเลยก็ได้”

                ซากุราบะ จิน พูดให้ซุนเหว่ยฟังในขณะที่จ้องมอง อแมนด้าด้วยความมุ่งมั่น เขาจ้องไปที่เข็มกลัดมาสเตอร์แบบตาไม่กระพริบ และหลังจากที่สาธิตวิธีการวัดพลังเสร็จ อแมนด้า ก็โค้งคำนับให้กับเสียงปรบมือของเหล่านักเรียนใหม่ และเดินกลับไปที่หลังเวที

“เอาล่ะ เราจะมาเริ่มคัดเลือกห้องเรียนกันนะครับ” โฆษกประกาศ
“เรามีนักเรียนใหม่ 300คน ห้องเรียน1ห้องจะมีทั้งหมด 30คน หมายความว่าเราจะมีทั้งหมด 10ห้องนั่นเอง”
“โดยลำดับที่ 1-30 จะได้อยู่ห้องเดียวกัน ต่อมาก็31-60 แล้วก็ต่อไปเรื่อยๆ” โฆษกประกาศกฎเกณฑ์
“ข้าอยากอยู่ห้องเดียวกับท่านทั้งสองจังเลย” ซุนเหว่ยพูดออกมา
“ชั้นก็อยากให้เป็นแบบนั้นนะ แต่ต่อให้แต้มพลังห่างกันแค่แต้มเดียว ก็อาจจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันก็ได้” อลิสพูด
“เอาล่ะ!! พิธีการคัดเลือก จะเริ่ม ณ บัดนี้!!” 

               หลังจากที่โฆษกประกาศออกไป การคัดเลือกก็เริ่มขึ้น โดยจะเรียงลำดับตามเก้าอี้ที่นั่งนั่นเอง คะแนนส่วนมาก จะอยู่ที่ช่วง 400-600 และคะแนนที่มากที่สุดในตอนนี้ที่นักเรียนใหม่ทำได้ คือ 768 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการ คัดเลือกผ่านไปครึ่งทางแล้ว โดยที่ จิน ซุนเหว่ย และอลิส นั่งอยู่ในช่วงครึ่งหลังของหอประชุม ทำให้ต้องรอนานนิดนึง แต่ว่าในที่สุดก็ถึงเวลาจนได้ 

               อาจารย์ที่กำกับดูแล บอกให้ทั้งแถวของทั้งสามคนลุกขึ้น โดยหัวแถวเป็นปลายแถวของอีกฝั่งนึง ทำให้ ซากุราบะ จิน ที่นั่งอยู่ปลายสุดของฝั่งนี้ จะเป็นคนสุดท้ายของแถวที่จะได้วัดพลังนั่นเอง ทั้งหมดเดินเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อรอคิวของตัวเอง ซึ่งการคัดเลือกก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องไร้ซึ่งปัญหา และใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงคิวของอลิส ที่จะได้ขึ้นไปทำการวัดแต้มแล้ว

“ทำให้เต็มที่นะ ท่านหญิง” ซุนเหว่ยพูดให้กำลังใจ
“ไม่ต้องคิดอะไรมาก ใช้ท่าที่ถนัดที่สุด” จินให้คำแนะนำ
“อืม ขอบใจนะ” 

               อลิสหันมายิ้มให้ซุนเหว่ยและจิน ก่อนที่จะขึ้นไปบนเวที และทันทีที่เธอเดินขึ้นไป สีหน้าและแววตาของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับช่วงเวลาปรกติ เป็นสีหน้าที่แม้แต่ซุนเหว่ยเองก็เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก แววตาที่มุ่งมั่นไม่แพ้จิน และความอาจหาญ ของเธอที่ไม่แพ้บรุษเพศแม้ซักนิด ทำให้เราสามารถพูดได้เต็มปากกว่า “เธอดูเท่จริงๆ” 

               อลิสเดินเข้าไปใกล้หุ่นจำลองด้วยความหนักแน่น เธอเดินอ้อมไปด้านหลังของมัน ใช้มือทั้งสองข้าง รวบไปที่เอวของมันอย่างหนาแน่น และอย่างที่บอกไป ว่าหุ่นตัวนี้เป็นหุ่นจำลองของมนุษย์ เพราะฉะนั้น น้ำหนักและส่วนสูงของมันก็คือส่วนสูงและน้ำหนักมาตฐานของมนุษย์ “เพศชาย” แต่อลิสก็ไม่ได้หวาดหวั่นกับมันซักนิด เธอรวบเอวของมันและยกขึ้นจากด้านหลัง เธอพลิกร่างกายส่วนบนไปข้างหลังเป็นรูปสะพานโค้งได้อย่างสวยงาม คอของหุ่นจำลอง กระแทกพื้นอย่างรุนแรง

“บ้าน่า เด็กผู้หญิงใช้ท่า German Suplex เนี่ยนะ!!” เสียงคนนักเรียนที่นั่งดูอุทานด้วยความตกใจ

               อลิสได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลาม เธอโค้งคำนับให้กับเสียงปรบมือ ก่อนที่จะหันไปมองคะแนนที่วัดออกมา และคะแนนของเธอก็คือ “851” เป็นคะแนนที่มากที่สุดในตอนนี้

“ท่านหญิง!!! สุดยอด!!” ซุนเหว่ยอุทานออกมาด้วยความดีใจ
“ให้ตายสิ นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอจะใช้วิชามวยปล้ำที่เน้นพละกำลังแบบนั้น” จิน เองก็แปลกใจ
“ดีล่ะ ท่านหญิงทำเต็มที่ขนาดนั้น ข้าเองก็ต้องทำให้เต็มที่บ้าง!!”

              ซุนเหว่ย พูดปลุกใจตัวเอง ก่อนที่จะเดินขึ้นเวทีไปด้วยท่าที สงบนิ่ง แบบที่อาจารย์ของเขาเคยสอนไว้ว่า อย่าแสดงอารมณ์ให้ศัตรูได้เห็น ในกรณีนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่หุ่น แต่ซุนเหว่ย ก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้ ในหัวของซุนเหว่ย เขากำลังคิดถึงท่าที่เขาถนัดมากที่สุด เขาคิดย้อนกลับไปในรอบการสอบเข้าเรียน เขาใช้วิชาที่ชื่อว่า “ลูกถีบมังกร” เป็นการรวมพลังทั้งหมดไปที่จุดเดียว แล้วกระโดดถีบอีกฝ่าย ซุนเหว่ยคิดจะใช้ท่านั้นอีกครั้ง

             เขาสูดหายใจลึก ยืนห่างจากหุ่นประมาณ 1เมตรครึ่ง เพื่อเว้นระยะกระโดดเอาไว้ด้วย อลิสที่ทดสอบเสร็จแล้ว ก็ได้ไปยืนเข้าแถวอยู่ที่แถวของห้องที่หนึ่งด้านล่างเวที และก็กำลังใจจดใจจ่อกับการทดสอบของซุนเห่วย ในขณะเดียวกัน จินที่กำลังยืนดูอยู่ ก็ลุ้นกับผลของซุนเหว่ยไปพร้อมๆกับทำสมาธิสำหรับตัวเขาเอง ที่ต้องขึ้นทดสอบเป็นคนต่อไป 

            ซุนเหว่ยเตรียมตั้งท่า โดยยืนหันหลังให้คนดู และกางขาของเขาออก ขาซ้ายอยู่ข้างหลัง ขาขวาอยู่ข้างหน้า ยกมือขึ้นมาบริเวณเอว เป็นการตั้งท่าแบบกังฟูที่เรามักจะเห็นกันในภาพยนต์ บรรยากาศในหอประชุมเงียบสงัดและใจจดใจจ่อกับศิลปะกังฟู ที่นานๆที่ถึงจะได้เห็นของจริง

“ฮว่าซ่า!!”  ซุนเหว่นตะโกนเสียงแหลมๆออกมาก่อนที่จะกระโดดพุ่งไปที่เป้าหมายด้วยแรงทั้งหมดที่มี แล้วก็!!!!

“กึก..”

            ทุกคนแน่นิ่ง... ปลายเท้าขวาของซุนเหว่ยหยุดอยู่บริเวณหน้าอกของหุ่น แต้มคะแนนของเขายังคงเป็น 0 ทุกคนต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ซุนเหว่ยค้างอยู่อย่างนั้นประมาณ 3วินาที ก่อนที่เอาขาลง แล้วก็เดินเข้าไปที่หุ่น สร้างความงุนงงเป็นอย่างมาก จนอลิสและกับจิน ถึงกับคิดในใจ ว่าเขากำลังทำบ้าอะไร

“มาอยู่ตรงนี้มันอันตรายนะ” 

           ซุนเหว่ยพูด ก่อนที่จะเอามือของเขาแตะไปที่บริเวณอกของหุ่นเบาๆ เพื่อไล่ “แมลงวัน” ที่เกาะอยู่ตรงอกของหุ่น ซึ่งทั้งหอประชุมนั้น มีเพียงซุนเหว่ยเท่านั้น ที่เห็นมัน และแมลงวันตัวนั้นก็บินหนีไปเพราะโดนซุนเหว่ยไล่นั่นเอง

“เอาล่ะ!! เอาใหม่” ซุนเหว่ยพูดแล้วก็กลับมายืนตั้งท่าใหม่ แต่ทว่า..
“นักเรียนซุนเหว่ย ได้40คะแนน ไปต่อแถวห้องโหล่ไป” โฆษกพูดประกาศออกมาดังลั่น
“ว่ะ! ว่าไงนะ!!!” 

           ซุนเหว่ยแทบจะทรุดลงไป ณ ตรงนี้ เพราะเขาไม่รู้กติเลยว่า การที่เขาสัมผัสตัวหุ่น แล้วเดินกลับออกมา นั่นแปลว่าเขาทำการวัดเสร็จแล้ว นักเรียนในฮอลต่างหัวเราะเยาะเขาด้วยความสนุกสนาน บ้างก็ตะโกนไล่เขากลับไปที่เมืองจีน ซุนเหว่ยในตอนนั้น รู้สึกผิดหวังและเศร้าใจมากๆ เขาคิดว่าถ้าอาจารย์มาเห็นเขาในสภาพนี้ คงจะรู้สึกผิดหวังแน่ๆ และเขายิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่ เมื่อเขาต้องค่อยๆเดินไปเข้าแถวที่ห้องโหล่ และต้องเดินผ่านอลิส ที่ยืนอยู่ที่ห้องอันดับหนึ่ง ด้วยความเศร้าใจ อลิสมองตามเขาไปด้วยความรู้สึกสงสาร 

            ซุนเหว่ยยืนคอตกอยู่ที่แถวห้องโหล่ แม้แต่เพื่อนร่วมห้องที่คะแนนน้อยที่สุด ก็ยังได้คะแนนตั้ง 212 มากกว่าเขาถึง 5 เท่า เขามองไปที่อลิส ที่พยายามจะกำหมัดเป็นสัญญานบอกว่า “สู้ๆนะ ไม่เป็นไร” แต่นั่นทำให้ซุนเหว่ยรู้สึกเศร้ากว่าเดิมอีก

“ผลั่ก!!!!” 

            เสียงผลั่กดังลั่นกังวาลไปทั่วหอประชุม ในระหว่างที่ซุนเหว่ยกำลังหงอย และอลิสที่กำลังมองมาที่เขา ต่างก็สะดุ้งจนต้องรีบหันกลับไปมองบนเวที ภาพที่เขาเห็นก็คือ ชายรูปร่างสูง ยืนอยู่บนเวทีอย่างสง่างาม ขาซ้ายของเขาตั้งตรงเป็นฐานที่มั่นคง และขาขวาก็ค่อยๆถูกดึงกลับเข้ามาเพื่อยืนตรงตามปรกติ หลังจากที่ใช้มันออกอาวุธเมื่อซักครู่ไป ภาพที่ซุนเหว่ยเห็นคือหุ่นจำลอง กำลังนอนกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างหมดท่า

“ท่านจิน…” ซุนเหว่ยมองดูด้วยความตะลึง
“เมื่อกี้นายเห็นรึเปล่า” เสียงของคนด้านหน้าซุนเหว่ยพูดกับเพื่อนของเขา
“สมแล้วที่เป็น ทายาทตระกูลดัง ถ้าหากเปลี่ยนจาก ขาหุ่น เป็นขาชั้นล่ะก็ บรื๋อ~~ ไม่อยากจะคิดเลย”
“ขอโทษนะ เมื่อกี้ ท่านจินทำอะไรหรอ?” ซุนเหว่ยถามกลุ่มเพื่อนด้านหน้าเขา
“เมื่อกี้เจ้าซากุราบะนั่น เตะเข้าไปที่ขาของหุ่น นมันเสียหลักลอยขึ้นบนอากาศเลยน่ะสิ”
“นี่! นายดูสิ คะแนนของหมอนั่นน่ะ” 

            เพื่อนนักเรียนพูดให้ซุนเหว่ยดูคะแนนของจินบนหน้าจอ ซึ่งคะแนนที่มันขึ้นเอาไว้คือ “1015”คะแนน” และซากุราบะจิน ก็แซงอลิสขึ้นไปเป็น ผู้ที่มีคะแนนมากที่สุดในทันที…

---------------------

*บราซิเลี่ยน ยิวยิตสู เป็นวิชาการต่อสู้ ที่ได้รับการพัฒนามาจาก ยิวยิตสู และ ยูโด ของญี่ปุ่น ที่ปรมาจารย์ยูโดชื่อ มิตซึโยะ มาเอดะ นำไปสอนให้ตระกูล กราซี่ ในประเทศบราซิล และตระกูล กราซี่ก็เอามาพัฒนาต่อ จนกลายเป็น บราซิเลี่ยน ยิวยิตสูในปัจจุบัน ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นวิชาการต่อสู้ในท่านอนที่ยอดเยี่ยมที่สุด

--------------------

             ท่ามกลางความฮือฮาของความรุนแรงในการเตะของจิน ที่ด้านหลังเวทีในหอประชุม จะมีห้องพิเศษที่ลักษณะเหมือนเป็นห้องรับรอง แสงไฟของมันสลัวๆไม่สว่างเท่าไรนัก ในห้องนั้นมีคนถึง6คน ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา ถือขนมและน้ำ ดื่มกินอย่างมีความสุข พวกเขานั่งดูจอทีวีที่กำลังฉายภาพของการคัดเลือกอยู่ ราวกับเป็นรายการทีวี หนึ่งในนั้นคือ “อแมนด้า” สาวบราซิเลี่ยน ยิวยิตสู ที่ออกไปสาธิตในตอนแรก

“ฮ่าๆๆ ดูหมอนั่นสิ แรงดีจริงๆ เกือบจะแรงเท่ารุ่นพี่ อแมนด้าแล้ว”  ชายหนุ่มท่าทางกวนประสาทผู้มี เนคไท2ขีดค่า และตราเข็มกลัดรูปดาวที่เขาเอามาห้อยเป็นต่างหูพูดขึ้น

“ชั้นก็แค่สาธิตให้ดู ถ้านายอยากรู้ว่าถ้าชั้นเอาจริงเป็นยังไง จะลองดูก็ได้” อแมนด้าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่เอานะทุกคน อย่าทะเลาะกันนะคะ” เสียงของสาวร่างเล็กอีกคนหนึ่งพูดขึ้น เธอเองก็มีขีดค่าที่เนคไทเป็น2ขีด และมีเข็มกลัดรูปดาวที่หน้าอกเสื้อเช่นกัน

“ขอโทษ รุ่นพี่เดี๋ยวนี้นะริว” ชายร่างยักษ์ผิวดำท่าทางสุขุม ผู้มีเนคไท2ขีดค่า และเข็มกลัดรูปดาวที่อก ต่อว่าชายที่ท่าทางกวนโอ๊ย

“ไม่เป็นไรหรอกไทสันคุง ริวคุงก็แค่หยอกล้อนิดหน่อยเอง เนอะ อแมนด้าจัง” ชายที่ผูกผมยาวๆของเขาเอาไว้ ผู้ที่มีเนคไท3ขีดพูดกับชายร่างยักษ์และอแมนด้า

“ก็บอกว่าอย่าเรียกชั้นด้วยชื่อนั้นไง เจ้าบ้า!” อแมนด้าผู้สงบนิ่งมาตลอดถึงกับหัวร้อนเมื่อได้ยินชายคนนี้พูด

“ฮ่าๆๆ น่ารักจริงๆอแมนด้าจัง แต่ว่านะ”

“พลังเตะระดับนี้น่ะ….” ชายผูกผมพูดอย่างมีเลศนัย

“ถ้าเทียบกับของนายถือว่าเป็นยังไง..” ชายผูกผมพูดกับชายปริศนาคนสุดท้ายในห้องนี้

“ถ้าเทียบกับของชั้น….”

“ของหมอนั่นถือว่ายังอ่อนหัด...” 

             ชายผิวคล้ำผู้องอาจที่นั่งอยู่ตรงกลางของโซฟาพูดกับชายที่ผูกผมอย่างเคร่งขรึม แววตาของเขาจ้องไปที่ตัวเลขคะแนนของจิน เขาเป็นชายรูปร่างสูงประมาณ 180 เซ็นติเมตร กล้ามเนื้อของเขาดูอัดแน่น ราวกับมีแต่ส่วนที่จำเป็นเท่านั้นในร่างกายของเขา ผิวของเขาเป็นสีแทนออกคล้ำๆ ใบหน้าที่ดูดุดันของเขาสามารถทำให้ผู้คนเสียขวัญได้ง่ายๆ ชายคนนี้มีฝีมืออยู่ในระดับ “สูงสุด” ของระดับ”มาสเตอร์” เขาคือเจ้าของฉายา “ราชสีห์อรุณ” นามว่า “ราชัน สุวรรณเมฆา”

“แต่ว่า…. “
“ไม่ว่ายังไงชั้นก็ยังไม่เข้าใจ” ราชันพูดขึ้น
“หืม? นายสงสัยอะไรหรอ ราชันคุง?” หนุ่มผูกผมถาม
“เจ้าคนนั้นน่ะ…”
“มันแค่แตะเบาๆที่หุ่น...”
“แต่กลับทำได้ถึง 40คะแนนได้ยังไง....” 

ชายผิวคล้ำพูดพร้อมๆกับจ้องมองไปที่ ชายชาวจีนนามว่าซุนเหว่ย ราวกับราชสีห์กำลังจ้องหาเหยื่อ…..
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Sun Mar 15, 2020 12:32 pm
ตอนที่ 2 : สวรรค์ปฏิเสธ


               ซากุราบะ จิน ชายผมสีส้ม ยืนจ้องมองป้ายกระดานที่ถูกติดเอาไว้แทบจะทุกที่ในโรงเรียน มันเป็นป้ายขนาดใหญ่พอประมาณ ด้านหนึ่ง เอาไว้แจ้งประกาศที่สำคัญต่างๆ ส่วนอีกด้าน เป็นการแจ้งสถานะของนักเรียนที่ได้เกรดระดับ “มาสเตอร์” เหมือนกับเป็นเครื่องเตือนใจให้นักเรียนทุกคนมีความกระหายในตำแหน่งนั้นตลอดเวลา


               สายตาของ ซากุราบะจิน จับจ้องไปที่ “ราชัน สุวรรณเมฆา” ชายผิวคล้ำ ผู้มีสัญชาติไทย เจ้าของวิชา “มวยไทย” อันเลื่องชื่อ ว่ากันว่าเขาคือชายผู้มีพลังทำลายล้างมากที่สุดในโรงเรียน แน่นอนว่า วิชามวยไทยของราชัน และวิชาคิ๊กบ๊อกซิ่งของจิน เปรียบเสมือนน้ำและไฟ ที่ไม่มีวันลงรอยกันได้ และยังไงก็ต้องโคจรมาพบกันในซักวันหนึ่งแน่นอน


              ชื่อของราชันอยู่ในแถวบนสุด ซึ่งเป็นแถวของเกรด มาสเตอร์ ในระดับปีที่ 3 ซึ่งนอกจาก ราชันแล้ว ก็ยังมีอแมนด้า ซิลวา สาวผิวแทนชาวบราซิล ที่เป็นผู้สาธิตในวันคัดเลือกห้องเรียน และอีกคนที่เหลือ เป็นชายผมยาวที่ผูกผมของเขาเอาไว้ หน้าตาของเขาดูยิ้มแย้มแบบเจ้าเล่ห์ และตาเล็กๆของเขายิ่งทำให้ยากจะคาดเดาอารมณ์ของเขาได้ เขามีชื่อว่า หลี่คุน


“หลี่คุน…..”
“ซักวัน ชั้นจะควักตาของแกออกมา!”


                ซากุราบะ จิน ได้ยินเสียงที่พูดออกมาด้วยความโกรธแค้น ภาพที่เขาเห็นก็คือ ชายที่ปกปิดใบหน้าส่วนหนึ่งของเขาเอาไว้ด้วยผ้าปิดตาที่ข้างซ้าย ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยสักมากมายจนแทบไม่เห็นพื้นที่ว่าง หลังจากที่เขาสาปส่งหนึ่งในมาสเตอร์ปีที่สามอย่างหลี่คุนด้วยความแค้น เขาก็หันหลังเดินจากไป ซากุราบะ จิน เห็นเนคไทของเขามีสามขีด แสดงว่าอยู่ปีที่3 เช่นเดียวกับหลี่คุน ดูเหมือนทั้ง2คนจะมีความแค้นกันบางอย่าง


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณซากุราบะ” เสียงของสาวผมสั้นกล่าวทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ อลิส” จิน กล่าวทักทายเธอเช่นกัน
“ซุนเหว่ยไม่มาหรอ?” จิน พูดพร้อมๆกับค่อยๆเดินออกจากป้าย ไปที่ห้องเรียนของพวกเขา
“ตอนเช้า ชั้นก็พยายามเรียกแล้วนะ”
“แต่เหมือนเขาพยายามจะหลบหน้าชั้นตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ” อลิสพูดพร้อมกับทำหน้ากังวล
“เฮ้อ ถ้าเขาไม่พลาด เราอาจจะได้อยู่ห้องเดียวกันก็ได้” จินพูดพร้อมถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“อ๊ะ! ถึงแล้วล่ะ” 


              ในระหว่างที่เดินคุยกันมาเรื่อยๆ จินและอลิส ก็มาหยุดที่ห้องที่ 1ของปี1 ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง สภาพของห้องนี้ ถือว่ายอดเยี่ยม มีเครื่องปรับอากาศ และโต๊ะเรียนที่ทันสมัย แถมยังมีอุปกรณ์ออกกำลังกายแบบเบาๆที่เหมาะกับการวอร์ม วางไว้บริเวณหลังห้องอีกด้วย เหล่านักเรียนใหม่ต่างตื่นเต้นกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บ้างก็ใช้เครื่องมือออกกำลังกาย ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ของห้องนี้ ล้วนแต่เป็นลูกหลานของบุคคลที่มีชื่อเสียงแทบจะทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่า รวมไปถึง ซากุราบะ จิน ลูกชายคนเล็ก ของตระกูลซากุราบะ และ อลิส ลูกสาวของ ผู้คร่ำวอร์ดในวงการมวยปล้ำที่ได้รับการยอมรับอีกด้วย 


              และหลังจากที่ทั้งสองคนเข้ามาในห้อง ทุกคนที่กำลังทำกิจกรรมของตัวเองอยู่ก็หยุด และหันมามองทั้ง2คน เพราะว่า ซากุราบะ จิน ทำคะแนนในการสอบคัดเลือกได้เป็นอันดับที่ 1 ส่วนอลิส ทำคะแนนได้เป็นอันดับที่4 พวกเขาจึงได้รับการจับตามองจากนักเรียนคนอื่นๆ โดยเฉพาะ เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผมของเขาเป็นสีดำและไว้ผมทรงแสกกลาง เขามีรูปร่างสูงมาก สูงซะยิ่งกว่าจินที่สูงถึง 180 เซ็นติเมตรซะอีก หน้าตาของเขาสามารถบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า “ไม่ใช่คนดี”


“ดูสิ นี่มันคุณชายซากุราบะนี่นา” เสียงของเด็กหนุ่มร่างสูงพูดขึ้น
“มาเรียนไกลขนาดนี้ ถ้าโดนแกล้งจะไปฟ้องแม่ไม่ทันเอานะ” เขาพูดกับจินด้วยความหยาบคาย
“นายเป็นใคร?” ซากุราบะ จิน พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตร
“ใจเย็นๆ ชั้นก็แค่อยากจะทักทาย” 
“ชั้นชื่อ อารากิ ยูยะ” เขาพูดด้วยสีหน้ากวนโอ้ย
“แล้วมีธุระอะไร?” จิน ถามด้วยความแข็งกร้าว
“เปล่า… ไม่มีอะไร…”
“เอ๊ะ! หรือว่ามีดีนะ?” เขาพูดพร้อมเอาหน้าเข้ามาใกล้จินแบบพร้อมจะมีเรื่อง
“ถ้าอยากมีก็ได้!”  จิน พูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปจ้างตาของยูยะที่ตัวสูงกว่า แบบไม่มีท่าทีหวั่นเกรงเลย
“พอได้แล้ว!!”


              อลิส รีบตะโกนห้ามทั้ง2ฝ่าย และผลักให้จินถอยออกไป พอได้ยินอลิสห้าม จินก็ค่อยๆถอยตัวเองออกมา แล้วค่อยๆหันหลังกลับไปแม้ว่าในใจเขาจะมีแต่ความรุ่มร้อนก็ตามที แต่ดูเหมือนคู่กรณีอย่าง ยูยะ จะไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ ดูเหมือนชายร่างสูงนามว่ายูยะ คนนี้ จะชอบปั่นประสาทคนอื่นเล่น



“อ๋อแบบนี้เองสินะ ทีแท้ก็พกแม่มาเรียนด้วยนี่เอง” ยูยะ พูดล้อเลียนอลิส ที่ห้ามศึกเมื่อซักครู่
“นี่แก!!” จิน เริ่มจะทนไม่ไหวจะหันกลับไปซัดกับยูยะ
“หยุดนะ!! คุณซากุราบะ” อลิสห้ามเขาไว้อีกครั้ง
“อย่าไปถือสาเลย เขาก็แค่อยากให้คุณโมโห อย่าหลงกลเขานะ!” อลิสพูดเตือนสติ
“ดูสิ คุณแม่กับคุณลูกคู่นี้น่ารักจังเลย แถมคุณแม่ยังอึ๋มสุดๆเลยด้วย” ยูยะ ยังคงปากเสียใส่ทั้งคู่
“ชั้นชักจะอยากเป็นลูกของคุณแม่อีกคนแล้วสิ”
“จะได้ดูดน-!!” 


              ยังไม่ทันจะพูดจบ รองเท้าคู่หนึ่ง ก็พุ่งตรงประทับตราใส่ปากของยูยะ ชายร่างสูงในทันที  ร่างของยูยะ เซถลา จนทรงตัวไม่อยู่ ชายร่างสูงล้มลงก้นกระแทกพื้นด้วยความอับอาย ยูยะรีบลุกขึ้นตามสัญชาตญาน แต่ทว่า


“ผลั่ก!!”


              ลูกเตะที่เร็วจนมองเห็นได้ยากก็พุ่งเข้ามากระแทกเขาอีกครั้ง ยูยะที่พึ่งจะลุกขึ้นมา ก็ล้มลงเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้ดูเหมือนการโจมตีนั้นจะเข้าไปที่ปลายคางของเขา ทำให้เขาไม่สามารถประคองตัวลุกขึ้นด้วยตัวเองได้ และทำได้เพียงนั่งกับพื้นมองดูสายตาที่จับจ้องมาด้วยความอับอาย


“หนอยแน่แก!!!”


               ยูยะ ตะโกนออกมาด้วยความคับแค้น เขามองไปที่ศัตรูเบื้องหน้าเขา ตอนแรกเขาคิดว่านั่นคือ ซากุราบะ จิน ที่เล่นงานเขาด้วยลูกเตะ แต่ทว่า ภาพที่เขาเห็นกลับไม่ใช่ ซากุราบะ จิน หากแต่คู่ต่อสู้ของเขากลับเป็น สาวน้อยวัยแรกแย้ม ที่มีใบหน้าน่ารักคิกขุ แต่ว่าลุคและท่าทางของเธอกลับดูมาดแมนสวนทางกับใบหน้าของเธอ ผมของเธอเป็นสีดำเงาๆประกายม่วง เช่นเดียวกับนัยน์ตาของเธอที่ก็เป็นสีนั้นเช่นกัน


“แกเป็นใคร!!!” ยูยะตะโกนถาม
“ถ้าชั้นบอกชื่อแก แปลว่าแกจะต้องรู้จักชั้น” สาวน้อยตอบ
“ซึ่งชั้นไม่แม้แต่จะอยากพูดคุยกับแก”
“แม้แต่ชื่อ แกก็จะไม่ได้รู้!!” 


              หลังจากที่สาวน้อยพูดจบ เธอก็เริ่มขยับตัวซ้ายทีขวาที ขาทั้ง2ข้าง ขยับเคลื่อนที่สลับกันไปมาเป็นจังหวะราวกับกำลังเต้นรำ และในชั่วพริบตา เธอก็ใช้แขนของเธอรับน้ำหนักตัวแทนขา และใช้ขาของเธอตวัดลูกเตะเข้าไปที่ ใบหน้าของยูยะ เป็นหนที่3 แต่ยังไม่ทันที่ลูกเตะนั้นจะเข้าเป้า ซากุราบะ จิน ก็เอาขาของเขามาบล็อคลูกเตะของ สาวน้อยปริศนาเอาไว้


“พอเถอะ ถ้าเธอเตะมันอีก เธออาจจะถูกอาจารย์ทำโทษได้” ซากุราบะ จินพูด
“ต่ะ! แต่ว่า เมื่อกี้มันแกล้งนาย!” สาวน้อยรีบโต้ตอบ
“ก็เพราะแบบนั้น ชั้นยิ่งต้องห้ามเธอ”
“ถ้าเธอถูกทำโทษเพราะช่วยชั้น ชั้นต้องรู้สึกผิดแน่ๆ” จิน พูดอย่างใจเย็น
“นายนี่นิสัยดีจริงๆ ชั้นชื่อ จิโอวานน่า กรีอาเรล่า ” สาวน้อยปริศนาแนะนำตัว
“ชั้น ซากุราบะ จิน” จินแนะนำตัว
“ส่วนชั้น นานะซากิ อลิส ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” อลิสก็แนะนำตัวเธอเช่นกัน
“ว้าว คุณอลิส ทั้งสวยแล้วก็หุ่นดีเลยนะคะเนี่ย” สาวน้อยชมเธอ
“ม่ะ! ไม่หรอก ช่ะ ชั้นก็แค่…!” อลิสเขินจนพูดไม่ถูก


                 ระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ในขณะเดียวกันนั้นเอง อารากิ ยูยะ ชายปากหมาที่โดนจิโอวานน่าเตะปากไป ก็ได้พูดขึ้นกับตัวเองเบาๆว่า


“จิโอวานน่า กรีอาเรล่า”
“ชั้นรู้ชื่อของเธอแล้ว นังตัวแสบ!”


---------------------------------------------- 


              หลังจากที่เรื่องวุ่นวายผ่านไป จิน อลิส และ จีโอวานน่า รวมไปถึง ยูยะ ก็ได้เข้าเรียนในช่วงเช้าตามปรกติ โดยที่ในการเรียนช่วงเช้านั้น จะเป็นการเรียนด้านวิชาการทั้งหมด จริงอยู่ที่การต่อสู้กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการเรียนทั่วโลก แต่การเรียนรู้ด้านวิชาการก็ยังเป็นสิ่งสำคัญอยู่ดี สำหรับโรงเรียนสอนการต่อสู้โดยเฉพาะอย่าง บาตะมาโฮว นั้น แม้จะไม่ได้เน้นเรื่องวิชาการมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าอ่อนเรื่องนี้ซะทีเดียว อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถปูพื้นฐานที่ดีให้นักเรียน ได้นำความรู้ไปศึกษาต่อในระดับ มหาวิทยาลัยได้ 


             ในส่วนของอลิส เธอค่อนข้างได้เปรียบคนอื่นจากความเป็นลูกครึ่งของเธอ ทำให้เธอสามารถใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่ว และบทเรียนของโรงเรียน บาตะมาโฮว ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นภาษาอังกฤษซะส่วนมาก นั่นทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วง “ซุนเหว่ย” เพื่อนชาวจีนของเธอ


“กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”


             เสียงออดดังขึ้นเป็นการบ่งบอกว่าหมดคาบเรียนวิชาสุดท้ายของช่วงเช้าแล้ว ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็ได้เริ่มต้นขึ้น เพราะว่าหลังจากพักทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ก็จะเริ่มการเรียนในช่วงบ่าย ที่จะเป็นการเรียนภาคปฏิบัติ นักเรียนแต่ละคน จะได้เรียนวิชาการต่อสู้และพัฒนาวิชาของพวกเขาจากการเรียนในช่วงบ่าย 


             อลิส จิน และ จิโอวานน่า เดินไปที่โรงอาหารด้วยกัน ส่วนยูยะ ดูเหมือนเขาจะหายไปในทันทีที่เสียงออดดัง พวกเขาทั้ง3คนใช้เวลาไม่นานนักในการเดินลงจากตึกเรียนไปที่ โรงอาหาร โดยที่โรงเรียนบาตะมาโฮวกัน แม้ว่าจะใหญ่ก็จริง แต่การวางผังโรงเรียนถือว่าทำได้ดีมาก ทุกส่วนในโรงเรียนเชื่อมถึงกันได้ง่ายไม่ซับซ้อน และก็สวยงามมากๆ


             โดยในส่วนของโรงอาหารนั้น สภาพของมันเหมือนฟูสคอร์ตในห้างหรูๆ ทุกอย่างมีระเบียบและมีอาหารมากมายหลายสัญชาติให้ลิ้มรส อลิสและจิน เลือกกินอาหารญี่ปุ่นที่พวกเขาคุ้นเคย ส่วนจิโอวานน่าเธอกิน สปาเกตตี้ คาโบนาร่า เนื่องจากเธอเป็นชาวอิตาเลี่ยนนั่นเอง



“คุณอลิสมองหาอะไรอยู่หรอคะ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” จิโอวานน่า ถามอลิสที่หันซ้ายทีขวาทีอยู่ตลอด
“อ๋อ พอดี ชั้นมองหาเพื่อนชั้นคนหนึ่งอยู่น่ะ” อลิสตอบ
“ไม่รู้หายไปไหนนะ หมอนั่นน่ะ” อลิสพูดพร้อมชะเง้อหา


              ระหว่างที่ทั้ง3คนกำลัง ทานอาหารกันอยู่นั่น จู่ๆพวกเขาก็สัมผัส รังสีแห่งความแข็งแกร่งบางอย่าง ที่กำลังตรงเข้ามาหาพวกเขา เหล่านักเรียนคนอื่นๆที่ต่อแถวซื้ออาหารพากันแหวกทาง ให้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างไม่สนหน้าอินหน้าพรหรม เขาเป็น ชายหนุ่มรูปร่างสมส่วน ผมของเขาเป็นสีขาว เครื่องแบบของเขาดูไม่เรียบร้อยนัก แต่ที่เด่นสะดุดตาที่สุด คงไม่พ้น เข็มกลัดรูปดาว ที่บ่งบอกว่าเขาเป็นระดับ “มาสเตอร์” ที่ห้อยอยู่เป็นต่างหูของเขา เนคไทของเขามีขีดค่า2ขีด บ่งบอกว่าเขาอยู่ปีที่2


“อ่ะ แฮ่ม แถวนี้น่านั่งด้วยจังเลย” ชายผมขาวพูดพร้อมยิ้มอย่างสบายใจ
“รุ่นพี่ริว..” จิน ที่ยืนดูทำเนียบมาสเตอร์ในตอนเช้า จำหน้าของชายคนนี้ได้ดี
“อะไรกัน นี่ชั้นดังขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย ฮ่าๆๆ” ริว พูดแล้วก็หัวเราะออกมา
“รุ่นพี่ต้องการอะไรจากพวกผม” จิน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หึหึ พูดตรงดีนี่ คุณชายซากุราบะ” 




“ชั้นชื่อ คาซึมะ ริว อยู่ปี2 ระดับมาสเตอร์” ริวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“ที่ชั้นมาที่นี่ ก็เพื่อชวนพวกนายให้มาอยู่กับพรรคของชั้น” ริวพูดออกมาตรงๆ
“พรรคหรอ?” จิโอวานน่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไร
“ใช่ พรรคของชั้นไงล่ะ อย่าบอกนะว่า แม่สาวผมม่วงคนนี้ไม่รู้เรื่องพรรคน่ะ” ริวพูดกับจิโอวานน่า
“เธอมาจากอิตาลี่น่ะค่ะ แล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจระบบการเรียนซักเท่าไร” อลิสตอบแทน
“ฮ่าๆ งั้นหรอกหรอ? ถ้างั้นชั้นจะอธิบายให้ฟังก็ได้” ริวพูดอย่างสบายๆเช่นเคย


            “อย่างที่ทุกคนรู้กัน ว่าโรงเรียนนี้จริงๆแล้วเก่าแก่มากๆ จุดเริ่มต้นของโรงเรียนนี้เกิดจากการรวมตัวกันของปรามาจารย์คาราเต้ทั้ง6คน ซึ่งถึงแม้จะสอนเหมือนๆกัน แต่เหล่าลูกศิษย์กลับมีสไตล์การต่อสู้ที่ต่างกัน จุดเริ่มต้นของระบบพรรคอยู่ที่ตรงนั้น โดยเราจะมีพรรค ทั้งหมด 6พรรค ตามจำนวนอาจารย์ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นมา ซึ่งหัวหน้าของพรรคแต่ละพรรคก็คือ”


“นักเรียนระดับมาสเตอร์ อย่างชั้น” ริวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นครั้งแรก


             “ถึงแม้ว่ามันจะมีคนบ้าคนนึง พยายามตั้งพรรคที่7ขึ้นมา แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะทั้ง6พรรค ล้วนได้รับการสนับสนุนจากทั้งสปอนเซอร์และโรงเรียนมาช้านาน ทำให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆดีกว่าพรรคตั้งใหม่ที่ไม่มีอะไรเลยมาก”


“แล้วเราจะมีพรรคไปทำไมล่ะ?” จิโอวานน่าถามสิ่งที่เธอสงสัย


             “ถามได้ดี! สิ่งที่พวกเธอจะได้รับก็คือการพัฒนาตัวเอง การอยู่ในพรรคยังมีอีกสิ่งนึงที่พวกเธอจะได้รับ นั่นก็คือ การได้ประมือกับระดับมาสเตอร์ อย่างพวกชั้นนั่นเอง”



“ซึ่งจะทำให้พวกเธอพัฒนาฝีมือขึ้นอย่างรวดเร็วทีเดียว” ริวพูดพร้อมชี้มาที่ต่างหูของเขา


            “แล้วนอกจากนั้น เรายังสามารถท้าประลองกับพรรคอื่นได้อีกด้วย โดยกติกาการประลองระหว่างพรรคจะมี2แบบ แบบแรกคือแบบที่ทั่วไปสมาชิกพรรคท้าประลองกัน และอีกแบบคือสมาชิกพรรค ท้าประลองกับหัวหน้าพรรคอื่น ซึ่งหัวหน้าพรรค จะท้าประลองกับสมาชิกธรรมดาของพรรคอื่นไม่ได้ ต้องท้ากับหัวหน้าพรรคด้วยกันเองเท่านั้น และถ้าหัวหน้าพรรคแพ้ คนที่ชนะสามารถเลือกที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคนั้นแทนได้ทันที หรือจะเอาแค่คะแนนอย่างเดียวแล้วก็กลับพรรคเดิมก็ได้” ริวอธิบาย


            "และที่สำคัญก็คือ กฎเหล็กของระดับมาสเตอร์น่ะ มีข้อนึงที่บอกว่า ถ้าหากเราพ่ายแพ้ เราจะเสียเข็มกลัดให้กับคนที่เอาชนะเราได้ นั่นหมายความว่า นายสามารถท้าทายหัวหน้าพรรคที่เป็นระดับมาสเตอร์ เพื่อชิงเข็มกลัดของเขาได้" ริวอธิบายต่อ


“แล้วกติกาในการท้าประลองหัวหน้าพรรคอื่นๆต้องทำยังไงบ้างหรอคะ?” อลิสถามบ้าง


              “ถ้าจะทำแบบนั้น ต้องเอาชนะ สมาชิกพรรคคนอื่นๆในพรรคนั้นให้ได้5คนขึ้นไปซะก่อนถึงจะมีโอกาสท้าสู้หัวหน้าพรรคได้ แต่ต้องไม่ใช่พรรคที่ตัวเองสังกัดอยู่นะ ทีนี้พวกนายน่าจะพอเข้าใจแล้วใช่มั้ย ว่าการมีคนเก่งๆอยู่ในพรรคก็จะเป็นเกราะป้องกันชั้นดี ราวกับคำว่าที่บอกไว้ว่า จงเก็บมิตรไว้ให้ใกล้ แต่จงเก็บศัตรูไว้ให้ใกล้ยิ่งกว่า” ริวแบบยิ้มๆ


“ว่าแต่ แล้วทำไมระดับมาสเตอร์ ถึงได้กลายเป็นหัวหน้าพรรคได้ล่ะ?” จินถาม
“อืม… ถ้าเกิดวันหนึ่ง นายกลายเป็นระดับมาสเตอร์ขึ้นมา นายจะยอมให้สถานะของตัวเองเป็นแค่สมาชิกพรรครึเปล่าล่ะ?” 
“เสือสองตัวน่ะ อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้หรอกนะ” ริวพูดกับจินอย่างมีเลศนัย
“เอาล่ะ ชั้นต้องไปแล้ว มีอีกหลายคนที่ชั้นอยากได้มาร่วมพรรคล่ะนะ อย่าลืมซะล่ะ มาที่พรรคหงส์จันทราของชั้นหลังเลิกเรียน”
“ชั้นรับรองว่าพรรคของชั้น จะทำให้นายกลายเป็นระดับมาสเตอร์ได้แน่นอน” 


               ริวพูดขายของราวกับเป็นเซลล์แมน ก่อนที่ลุกออกไปจากโต๊ะ ทางด้านจิโอวานน่าก็เริ่มจะเข้าใจคอนเสปของระบบพรรคแล้ว ในขณะที่จินกับอลิส ก็กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ถึงการเข้าพรรคที่เหมาะสมกับตัวของพวกเขาเอง 


-------------------------------------------------- 


               ภายในสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นโรงยิมขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้หลายร้อยคน และสถานที่แห่งนี้ก็มีอุปกรณ์ทางการกีฬาเพรียบพร้อม บริเวณด้านในสุด มีป้ายตัวใหญ่เขียนไว้ว่า “พรรคมังกรสวรรค์” ตรงกลางของโรงยิมจะมีเวทีการประลองถูกวางเอาไว้อยู่ บนเวทีนั้น มีชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักและผ้าที่คาดตาของเขาเอาไว้ เขาถอดเสื้อออก เหลือเพียงเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยลายของเขา โดยที่อีกฝั่ง เป็นนักเรียนระดับชั้น ปี 3 ไม่ทราบชื่อ พวกเขาทั้ง2คน ยืนอยู่คนละฝั่ง และก็มีกรรมการที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้ง2คน 


               โดยที่ด้านล่างก็มีเหล่านักเรียนที่สังกัดพรรคมังกรสวรรค์ยืนอยู่ล้อมรอบ โดยที่มีชายตาตี่ที่ผูกผมยาวๆของเขาเอาไว้ นามว่า “หลี่คุน” ระดับมาสเตอร์ปีที่3 นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านล่างเวที ด้วยท่าไขว่ห้างและไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆเลย


“ชนะอีกแค่2คน ก็จะได้เจอชั้นแล้วนะ โคโนะคุง” หลี่คุณพูดด้วยน้ำเสียงกวนโอ้ย
“หึ!! ทำตัวได้ใจไปก่อนเถอะ!!!”
“คราวนี้ชั้นจะฆ่าแก และเอาชื่อพรรคของชั้นกลับมาให้ได้!!” ชายสักลายนามว่า โคโนะ พูดกับหลี่คุน
“นายนี่ แค้นฝังหุ่นจริงๆเลยนะโคโนะคุง เอาเหอะ ยังไงนายก็ไม่เคยชนะชั้นได้เลยซักครั้งอยู่แล้ว”
“จะแพ้เพิ่มอีกครั้งก็ไม่เห็นเป็นไรเนอะ” หลี่คุนยังคงปั่นประสาทโคโนะไม่เลิก
“แก!!!!” โคโนะเริ่มประสาทเสีย


“เอาล่ะๆ พอแค่นั้นแหละ” กรรมการบนเวทีรีบห้ามปราม


             “ทุกคนฟังนี่คือการประลองระหว่างพรรคกระยาจกกับพรรคมังกรสวรรค์ ทาคาฮาชิ โคโนะ หัวหน้าพรรคกระยาจก สามารถเอาชนะคนของพรรคมังกรสวรรค์ไปได้แล้ว3คน เหลืออีกเพียง 2คน เขาจะได้ท้าสู้กับ หลี่คุน หัวหน้าพรรคมังกรสวรรค์ ซึ่งถ้าเขาเอาชนะได้ เขาจะได้เข็มกลัดระดับมาสเตอร์มาครอง และพรรคกระยาจก จะได้คะแนนมหาศาล ในขณะที่ พรรคมังกรสวรรค์ ก็เสียคะแนนมหาศาลเช่นกันเนื่องจากความห่างชั้นกันของคะแนน ขอให้นักเรียนทุกคนรู้ถึงความสำคัญของการประลองนี้ด้วย” กรรมการพูดเปิดงาน


“ฟังให้ดีล่ะ โคโนะคุง พรรคของนายน่ะ แทบจะไม่มีคะแนนเหลืออยู่แล้ว”
“คำท้าของนาย ถึงแม้พรรคชั้นจะชนะก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา การที่รับคำท้าถือว่าเป็นบุญคุณ”
“จำเอาไว้ด้วยล่ะ” หลี่คุน พูดกวนกระสาทอีกครั้ง


             โคโนะที่ได้ฟังก็พยายามใจเย็น ไม่หลงกลสงครามประสาทของหลี่คุน พวกเขา2คน เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน โดยที่มีแต่พวกปี3เท่านั้น ที่จะรู้เรื่องราวความบาดหมางของทั้ง2คน โคโนะคือคนที่พยายามตั้งพรรคที่ 7ขึ้นมา ซึ่งจริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ทำได้ในโรงเรียน แต่ทว่าอุปกรณ์การฝึกซ้อมรวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่โรงเรียนจะสนับสนุนนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของพรรคนั้นๆ นั่นทำให้พรรคใหม่ๆ ไม่สามารถต่อกรกับพรรคดั้งเดิมทั้ง6พรรคได้เลย 


             โคโนะผู้เป็นหัวหน้าพรรคกระยาจก ก็เลยพยายามสร้างผลงานและคะแนนเพื่อให้พรรคของเขาได้รับการสนับสนุนนั่นเอง แต่ก็น่าเศร้า ที่สมาชิกพรรคของเขาส่วนใหญ่ ก็จะเป็นนักเรียนระดับเกรดต่ำ ที่ไม่เก่งพอจะเข้าพรรค6พรรคดั้งเดิมได้นั่นเอง 


             โดยการประลองทุกรูปแบบนั้น จะเดิมพันกันด้วยคะแนน พรรคที่ชนะได้เพิ่ม พรรคที่แพ้ลดลง ตามอัตราส่วนของคะแนนที่ต่างกัน พรรคที่คะแนนน้อยกว่าจะได้คะแนนเพิ่มมามากถ้าชนะ แต่ถ้าพรรคที่คะแนนมากกว่าชนะก็จะได้คะแนนที่เพิ่มมาน้อยนั่นเอง  และเนื่องจากพรรคทั้ง6 มีคะแนนไม่หนีกันมาก เลยไม่มีปัญหาในการท้าปะลองกัน แต่ในกรณีพรรคกระยาจกที่มีคะแนนน้อยมากๆนั้น การที่พรรคมังกรสวรรค์รับคำท้าของพวกเขา ถือว่าเป็นการเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ เพราะถึงชนะได้ ก็ได้คะแนนกลับมาเพียงน้อยนิด แต่ถ้าแพ้ ก็จะเสียคะแนนมหาศาล เนื่องจากอัตราส่วนคะแนนต่างกันมากนั่นเอง 


              และเพราะเหตุนั้นหลายๆครั้งที่พรรคกระยาจกมาท้าสู้ พรรคมังกรแดนสวรรค์จึงใช้เล่ห์เหลี่ยม นำเรื่องอื่นมาเดิมพันนอกเหนือจากคะแนน และหนึ่งในครั้งที่ฉาวโฉ่ที่สุดของการต่อสู้ก็คือ หลี่คุนให้โคโนะ นำชื่อพรรคของเขามาเดิมพัน ซึ่งเพราะการพ่ายแพ้ในครั้งนั้นเอง ทำให้ชื่อพรรคเดิมของโคโนะ ถูกเปลี่ยนเป็น “พรรคกระยาจก” มาจนถึงทุกวันนี้


“เริ่มได้!!” กรรมการกระกาศเริ่มการประลอง


              โคโนะที่ถึงแม้จะเพิ่งต่อสู้กับคนของพรรคมังกรสวรรค์ถึง3คนติดต่อกันเสร็จ แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงความเหนื่อยล้าแต่อย่างใด คู่ต่อสู้ของเขาใช้วิชาคิ๊กบ๊อกซิ่ง พยายามออกอาวุธสะกัดการบุกทะลวงของโคโนะ แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดการจู่โจ่มที่ยอดเยี่ยมของโคโนะได้ โคโนะออกหมัดขวาโดนเข้าไปเต็มหน้าของคู่ต่อสู้จนเซถอยหลัง อีกฝ่ายพยายามตอบโต้ ด้วยการเตะเข้าไปที่ลำตัวของโคโนะ แต่โคโนะก็จับขาของเขาเอาไว้ได้ ก่อนที่จะเตะตัดขาที่ยืนอยู่อีกข้างนึง จนอีกฝ่ายล้มลง โคโนะรีบกระจนขึ้นไปนั่งคร่อมตัวของอีกฝ่าย ก่อนจะรัวหมัดใส่ จนกรรมการต้องเข้ามาห้ามและยุติการแข่งขัน ก่อนที่จะรุนแรงไปมากกว่านี้


“ผู้ชนะ!! ทาคาฮาชิ โคโนะ!!” กรรมการพูดพร้อมกับเข้ามายกมือของโคโนะ ที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ได้แค่นี้เองหรอ พรรคมังกรสวรรค์!!” โคโนะ พูดพร้อมชี้นิ้วไปที่หลี่คุน
“เอาล่ะ ส่งคนสุดท้ายของแกมาซะ!!!” โคโนะกวักมือเรียกคู่ต่อสู้
“หึๆ ใจเย็นๆ โคโนะคุง” หลี่คุนพูดอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
“ตอนนี้ใกล้จะหมดเวลาพักกลางวันแล้ว”
“เราควรจะกลับไปเรียนก่อนนะ แล้วตอนเย็นหลังเลิกเรียน ค่อยกลับมา” หลี่คุนพูดแบบฉลาดแกมโกง

“เหอะ! ไม่ใช่ว่าแกตั้งใจถ่วงเวลาเพื่อจะหาสมาชิกที่จะมาล้มชั้นได้หรอกนะ!!”
“รีบส่งคนต่อมา! ชั้นซัดมันร่วงได้ใน1นาทีอยู่แล้ว!!” โคโนะพูดดูถูกพรรคมังกรสวรรค์
“ฮ่าๆๆ โคโนะคุงฉลาดจริงๆ ใช่แล้ว เพราะชั้นจะไปหาเด็กปีหนึ่งที่สามารถเอาชนะนายได้มา”
“เพราะว่าถ้าหัวหน้าพรรคกระยาจกพ่ายแพ้ให้กับเด็กปีหนึ่งล่ะก็…”
“มันคงตลกดีว่ามั้ย?” 

หลี่คุนผู้ชั่วร้าย พูดพร้อมกับน้ำเสียงที่น่าขนลุก


-มีต่อ


Last edited by IamKurtCobian on Sun Mar 15, 2020 12:44 pm; edited 2 times in total
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Sun Mar 15, 2020 12:34 pm
“เธอจะไปเข้าพรรคของ อแมนด้า ซิลวาหรอ?” จินถามอลิส
“อึ้ม ชั้นอยากจะพัฒนาการใช้ท่าล็อคน่ะ” อลิสตอบ
“ถ้างั้นก็โชคดีนะ แล้วก็เจอกัน” จินพูดกับอลิสก่อนที่เธอจะเดินจากไป
“แล้วเราจะเอายังไงกันดีล่ะ?” จิโอวานน่า ถามจิน
“นั่นสินะ ชั้นยังตัดสินใจไม่ได้เลย..”
“ไม่สิ จริงๆแล้วต้องบอกว่า ชั้นไม่อยากอยู่พรรคไหนเลยมากกว่า” จิน พูดกับจิโอวานน่า
“หืม? แต่โรงเรียนเขาบอกว่ายังไงต้องมีพรรคอยู่นะ จิน?” จีโอวานน่าพูดด้วยความสงสัย
“ก็นั่นแหละ ที่ทำให้ชั้นลำบากใจ” จินพูดพร้อมถอนหายใจออกมา


            หลังจากเรียนคาบบ่ายเสร็จ นักเรียนหลายคนก็พากันไปสมัครอยู่พรรคต่างๆ ซึ่งแต่ละพรรคก็จะมีการทดสอบฝีมือก่อนที่จะรับเข้ามาในพรรค ซึ่งจินกับอลิสและจิโอวานน่าถูก “คาซึมะ ริว” ทาบทามให้ไปอยู่กับพรรคเขา แต่จิน ไม่รู้สึกว่าอยากจะอยู่กับพรรคของระดับมาสเตอร์คนไหนเลย เพราะเขาไม่อยากอยู่ใต้ร่มเงาของใครอีกแล้ว เพราะตลอดชีวิต เขาต้องอยู่ใต้ร่มเงาของพี่ชายมาโดยตลอดในฐานะของลูกชายคนเล็กประจำตระกูล ผู้ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรเลย


“จริงสิ!!!” อยู่ๆจินก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก
“มีอะไรหรอคะ?”  จิโอวานน่ารู้สึกสงสัย
“เหมือนชั้นจะได้ยินที่ คาซึมะ ริวพูดเอาไว้นะ”
“ว่าจริงๆแล้วมีคนตั้งพรรคที่7ขึ้นมา”
“ชั้นว่าเราไปดูกันหน่อยดีกว่า” จินพูดสิ่งที่เขาคิดได้
“อืม เอางั้นก็ได้” 


             จิโอวานน่าตอบรับคำชวนของจิน ทั้งสองคนเดินไปถามนักเรียนคนอื่นๆถึงพรรคที่7 ที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ หรือที่รู้จักกันในนาม “พรรคกระยาจก” นั่นเอง จิโอวานน่าและจินเดินผ่านโรงยิมเป็นสำนักของพรรคต่างๆของเหล่าระดับมาสเตอร์ทั้งหลาย ทั้งหมดล้วนเป็นยิมขนาดใหญ่ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแตกต่างกันไปตามวิชาของแต่ละคน แต่พวกเขาก็ไม่ยักจะเห็น สำนักของพรรคกระยาจกเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เดินหากันซักพัก พวกเขาก็ตัดสินใจเดินไปถามชายคนหนึ่ง ที่กำลังวุ่นวายกับการเอาของเก่าเข้าไปเก็บในห้องเก็บของอยู่


“เอ่อ ขอโทษนะคะ พอดีชั้นถามนักเรียนคนอื่นๆว่าพรรคกระยาจกอยู่ที่ไหน แล้วพวกเขาบอกอยู่ตรงนี้”
“แต่ชั้นก็หาไม่เจอเลย คุณพอจะทราบมั้ยคะว่าสำนักอยู่ที่ไหน?” จิโอวานน่าถามอย่างสุภาพ
“อ๋อ ก็อยู่ตรงนี้แหละ”


            นักเรียนชั้นปี2คนนั้น พูดพร้อมชี้นิ้วมาที่ห้องเก็บของเก่า ที่ทรุดโทรม หลังจากที่พวกเขาเพ่งดูจนละเอียดก็พบว่า มีแผ่นป้ายเป็นไม้ผุๆ เขียนเอาไว้ว่า “สำนักพรรคกระยาจก” โดยอุปกรณ์ทุกอย่างของพรรคนี้ล้วนแต่เป็นของเก่าที่ถูกทิ้งแล้ว โดยพวกเขาเอามันมาซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพที่พอใช้ได้ไปวันๆ และพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ โดยบริเวณฝึกซ้อมของพรรคกระยาจก ก็คือลานโล่งๆตรงนั้น ไม่มีแม้แต่หลังคาบังแดด



“สภาพแย่แบบนี้ ชั้นว่าเราไปอยู่พรรคอื่นเถอะ” จิโอวานน่า พูดกับจิน
“อืม.. มันก็แย่จริงๆ นั่นแหละ” จินก็เหมือนเห็นด้วย
“ว่าแต่แล้วหัวหน้าพรรคกับสมาชิกไปไหนกันหมดล่ะครับ?” จินถาม
“อ๋อ รุ่นพี่โคโนะหัวหน้าพรรคกับสมาชิกคนอื่นๆน่ะ ตอนนี้อยู่ที่พรรคมังกรสวรรค์ของหลี่คุนน่ะ” เขาบอก
“หลี่คุน ระดับมาสเตอร์ปีที่3น่ะหรอ? แล้วพวกเขาไปทำอะไรที่นั่น” จินถามด้วยความสงสัย


“หัวหน้าพรรคของเราน่ะ มีความแค้นส่วนตัวกับหลี่คุน อย่างมาก” สมาชิกพรรคกระยาจกตอบ
“หลังจากปิดเทอมไปเขาก็ไปฝึกฝนอย่างหนัก หวังจะแก้แค้นทันที”
“ทั้งที่เป็นวันเปิดเรียนวันแรกแท้ๆ แต่ก็ไปท้าทายหลี่คุน เพื่อชิงเข็มกลัดมาสเตอร์ ชั้นเองก็เหนื่อยจะห้ามแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทดท้อ
“ชั้นว่า เราไปดูกันหน่อยดีมั้ย?” จิโอวานน่าพูดกับจิน
“อืมก็ดีนะ…”
“เราอาจจะได้เห็นระดับมาสเตอร์ต่อสู้ก็ได้” 


            ทั้ง2คน เลยตัดสินใจที่จะเดินไปที่พรรคมังกรสวรรค์เพื่อเข้าชมการประลองนั้น ระยะห่างจากห้องเก็บของที่เป็นสำนักของพรรคกระยาจกนั้น อยู่ไม่ไกลจากพรรคมังกรสวรรค์มากนัก สามารถมองเห็นกันและกันได้ตลอด นั่นทำให้จินเข้าใจในทันทีว่า ทุกๆวันที่หัวหน้าพรรคกระยาจกต้องมองคู่แค้นของเขาที่อยู่ในสถานะที่ดีกว่าทุกอย่างแบบนั้น มันทำให้เขาเจ็บปวดแค่ไหน พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็เดินมาถึงพรรคมังกรสววรค์แล้ว ด้วยความที่เป็นช่วงเวลาหลังเลิกเรียน ทำให้ก็มีนักเรียนหลายคนมาขอสมัครเข้าพรรค และก็มีคนอยากมาดูการประลอง ทำให้พรรคมังกรสวรรค์ในวันนี้มีคนแน่นทีเดียว และดูเหมือนหนึ่งในนั้นจะเป็นคนที่ทั้ง จิน และ จิโอวานน่า รู้จักอีกด้วย


“ให้ตายสิ ชั้นอุตส่าห์ชวนพวกเธอไปที่พรรคชั้น แต่พวกเธอดันมาอยู่ที่นี่ ไม่เห็นใจชั้นบ้างเลยรึไง” 


            เสียงที่คุ้นเคยของชายผมสีขาวที่สวมต่างหูเป็นเข็มกลัดมาสเตอร์ และเครื่องแบบนักเรียนที่ไม่ค่อยเรียบร้อยของเขา ทำให้ทั้งจิน และ จิโอวานน่า จำเขาได้ในทันที เขาคือ คาซึมะ ริว หัวหน้าพรรค หงส์จันทรา ที่มาชวนพวกเขาเข้าพรรคตอนกลางวันนั่นเอง

“อย่าว่าแต่พวกผมเลย รุ่นพี่นั่นแหละ มาทำอะไรที่นี่ ไม่ไปรับสมัครนักเรียนที่พรรคตัวเองล่ะ?” จินถาม
“เรื่องนั้นชั้นฝากสมาชิกคนอื่นๆไว้แล้วล่ะ” ริวตอบ
“ว่าแต่รุ่นพี่คะ หัวหน้าพรรคกระยาจกเขาเป็นคนแบบไหนหรอคะ?” จิโอวานน่าถาม
“อืมมม เป็นคนแบบไหนหรอ ถ้าให้ชั้นตอบ ก็คงตอบว่าคนบ้า ไม่สิ หมาบ้าล่ะมั้ง” ริวถาม
“ยังไงหรอคะ?” จิโอวานน่าถามต่อ




           “ไม่รู้สิ หมอนั่นมันทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ ตั้งแต่ที่ชั้นเข้ามาเรียนที่นี่ เจ้าหมาบ้านั่นก็ท้าสู้กับหลี่คุน อย่างไม่ลดละอยู่ตลอด แถมยังว่ากันว่า เจ้าหมาบ้านั่น เป็นสมาชิกแก๊งยากูซ่า และตาที่เสียไปก็เป็นเพราะมันทำงานผิดพลาดอีกด้วย” ริวเล่าเกี่ยวกับหัวหน้าพรรคกระยาจก




“เป็นคนไม่ดีซินะคะ” จิโอวานน่าพูด
“ฮ่าๆๆ ไม่รู้สิ สำหรับชั้นมันก็แค่คนบ้า แต่ก็ยังนิสัยดีกว่าหลี่คุนเยอะ” ริวพูด
“แล้วฝีมือเขาล่ะ?” จินถามอย่างจริงจัง
“ชั้นก็ไม่อยากจะรับยอมรับหรอกนะ”
“แต่พวกปี3เขาว่ากันว่า เจ้าหมาบ้านั่นน่ะ…..”
“เป็นชายที่เหนือกว่ามนุษย์ แต่ไม่อาจไปถึงสวรรค์”
“เป็นคนที่ถูกสวรรค์ปฎิเสธยังไงล่ะ”
“หมอนั่นเก่งกว่านักเรียนทั่วไป แต่ดันไม่เก่งถึงระดับมาสเตอร์ซักที” ริวตอบ

             ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน กรรมการก็เดินขึ้นมาบนเวทีการประลอง เพื่อสานต่อการประลองที่ได้ค้างไว้ในตอนกลางวัน โคโนะ หัวหน้าพรรคกระยาจก เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเสียงโห่จาก สมาชิกพรรคมังกรสวรรค์และนักเรียนทั่วไปที่มาดูเพราะชื่อเสียงที่ไม่ดีของเขา แต่ก็ยังพอมีเสียงเชียร์ของสมาชิกพรรคกระยาจกอยู่บ้าง แม้ว่าสมาชิกพรรคกระยาจกส่วนใหญ่จะเป็นพวกอ่อนแอก็ตาม


“หลี่คุน!! ไหนล่ะ สมาชิกพรรคของแก” โคโนะพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วง โคโนะคุง นายจะได้สู้กับเขาแน่” หลี่คุนพูดอย่างสบายใจ
“เอาล่ะทุกคนฟัง!!!” กรรมการตะโกนเสียงดัง




            “นี่คือการประลองระหว่าง ทาคาฮาชิ โคโนะ หัวหน้าพรรคกระยาจก และ สมาชิกพรรคมังกรสวรรค์คนที่5 ถ้าหากโคโนะเอาชนะเขาได้ เขาจะได้ต่อสู้กับหลี่คุน หัวหน้าพรรคมังกรสวรรค์ และจะได้คะแนนพรรคกับเข็มกลัดมาสเตอร์ ไปครองถ้าหากเขาเอาชนะได้” กรรมการประกาศ




“และคู่ต่อสู้คนที่5ของ ทาคาฮาชิ โคโนะ!!”
“ปี1 ห้อง10”
“ซุนเหว่ย!!”


              สิ้นเสียงประกาศ ชายหนุ่มผิวขาวออร่าพร้อมกับผมสีดำของเขา ก็เดินขึ้นเวทีมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และการปรากฎตัวของเขา ก็ทำให้จินรู้สึกช็อคเป็นอย่างมาก ตลอดทั้งวันเขาไม่เห็นซุนเหว่ยเลย ทำให้จินยากที่จะเชื่อว่า เขาจะมาปรากฎตัวอยู่บนเวทีการประลองตั้งแต่วันแรกแบบนี้!!


“อะไรกัน หมอนั่นมันคนที่ทำคะแนนได้แค่ 40 ตอนคัดห้องนี่” 
“สงสัยหลี่คุนอยากจะสู้กับเจ้าหมาบ้ามั้ง ก็เลยส่งไอ้กระจอกนี่มาโดนเชือด”  เสียงดูถูกและนินทาดังขึ้นในทันที
“บ้าน่า!! เจ้าหมอนั่น!” จินไม่อยากจะเชื่อสายตาของเขาเอง
“นายรู้จักเขาหรอ?” จิโอวานน่าถาม
“คนที่สนิทหมอนั่นจริงๆคืออลิส ชั้นกับหมอนั่นก็เคยคุยกันบ้าง แต่ไม่ถึงกับสนิทหรอก” จินพูด


              หลังจากที่ซุนเหว่ยขึ้นมาบนเวที ท่ามกลางความแตกตื่นที่หลี่คุนส่งเด็กปีหนึ่งห้องโหล่คนนี้ขึ้นมา โคโนะที่เห็นคู่ต่อสู้ของเขา ก็อดหัวเราะและขำออกมาไม่ได้


“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หลี่คุน แกอยากจะสู้กับชั้นสินะ ถึงได้ส่งไอ้กระจอกนี่มา”
“หึ นายน่ะรู้จักเจ้านี่น้อยไป..”
“อย่าได้ประมาทเชียว โคโนะคุง” หลี่คุนพูด
“เอาล่ะทั้งสองฝ่ายหยุดพูดก่อน!!!” กรรมการพูด
“การประลองระหว่างหัวหน้าพรรคกระยาจก ทาคาฮาชิ โคโนะ และ ซุนเหว่ย สมาชิกพรรคมังกรสวรรค์คนที่5”
“พวกนายพร้อมแล้วใช่มั้ย!” กรรมการถามทั้งสองคน
“พร้อมครับ!!” พวกเขาตอบออกมาพร้อมกัน
“ถ้างั้นก็!”
“เริ่มได้!!!”


            สิ้นเสียงที่บอกว่าเริ่มได้ โคโนะก็ใช้ความรวดเร็วของเขา เข้าประชิดซุนเหว่ยในทันที เขาออกหมัดขวาที่ไปใบหน้าของซุนเหว่ย ชายผิวขาวพยายามโยกหลบการโจมตีของโคโนะ แต่ทว่าด้วยประสบการณ์ ทำให้โคโนะ รีบออกหมัดซ้ายตามมาติดๆในทันที และหมัดซ้ายนั่นก็เข้าที่ไปใบหน้าของซุนเหว่ยเต็มๆ ชายชาวจีน ถึงกับเซเพราะหมัดของโคโนะ เมื่อเห็นดังนั้น โคโนะ ก็ไม่รอช้า เขาเตะตัดขาของซุนเหว่ย หวังให้อีกฝ่ายล้มลงแต่ทว่า ซุนเหว่ยสามารถยกขาขึ้นมาบล็อคได้ทัน ก่อนที่จะสวดหมัดไปที่ หน้าของโคโนะเช่นกัน


“เค้าเตอร์ได้ดี!” ริว ที่กำลังยืนดูอยู่พูดออกมา


            โคโนะที่โดนหมัดของซุนเหว่ยไป รีบเข้ามาโจมตีต่อ เขาใช้หมัดขวาตรงอีกครั้ง แต่คราวนี้ซุนเหว่ยใช้มือทั้งสองข้างของเขาผลักที่แขนขวาของโคโนะเบาๆก่อนที่หมัดจะถึงหน้าของเขา พร้อมกับโยกหลบไปอีกทาง และใช้บริเวณหลังมือ ฟาดไปที่หน้าของโคโนะ เมื่อโคโนะถูกโจมตี เขาก็เริ่มหัวเสีย เขาวิ่งเข้าไปรัวหมัดชุดใส่ซุนเหว่ย แต่ทว่าหนุ่มผิวขาวก็ใช้แขนทั้งสองข้างของเขา เบี่ยงวิถีหมัดของโคโนะเบาๆ พอหมัดคอมโบของโคโนะหมด ซุนเหว่ยกระโดดถีบขาคู่ใส่โคโนะ จนโคโนะกระเด็นไปไกล


“อั่ก!” โคโนะร้องออกมาด้วยความจุก
“จิตใจท่านลุ่มร้อนยิ่งนัก ฝีมือของท่านมากล้น แต่จิตใจกลับวอกแวก” ซุนเหว่ยพูดกับโคโนะ
“หน๊อยแน่ แก….” โคโนะที่กำลังร้อนลุ่ม กัดฟัดพูดออกมา
“แต่ก็ใช่แล้ว!! พูดได้ดี!!!” โคโนะชี้หน้าซุนเหว่ย แล้วก็พูด
“วิชาที่แกใช้เมื่อกี้น่ะ ใช้อ่อนสยบแข็ง… และสะท้อนการโจมตีของชั้นกลับ”
“ไทเก๊ก สินะ” โคโนะพูดออกมา
“สายตาเฉียบแหลม สมกับเป็นยอดฝีมือ” ซุนเหว่ยกล่าวชม
“วิชาแบบนั้นน่ะ ชั้นสู้กับหมอนั่นมาเป็นร้อยครั้ง” โคโนะพูดพร้อมชี้ไปที่หลี่คุน
“กับเด็กปี1แบบแกน่ะ…”
“ชั้นไม่แพ้แน่” 


              ทันทีที่พูดจบ โคโนะก็พุ่งใส่ซุนเหว่ยอีกครั้ง เขาใช้หมัดขวาใส่ซุนเหว่ยเหมือนเคย และซุนเหว่ยก็ใช้วิธีเดิม คือใช้แขนผลักวิธีหมัดของโคโนะออกเบาๆ แต่ทว่าคราวนี้โคโนะที่ได้สติคืนจากความโกรธ ก็ดึงแขนขวาของเขาที่ถูกผลักออกไปในตอนแรก มาล็อคด้านหลังของคอซุนเหว่ย แล้วก็ตีเข่าซ้ายเข้าไปที่ ท้องของซุนเหว่ยเต็มๆ ซุนเหว่ยรู้สึกจุกจนยืดตัวตรงไม่ได้ ในตอนนั้นเอง ที่โคโนะรัวหมัดใส่ซุนเหว่ยไม่ยั้ง แม้ว่าซุนเหว่ยจะบล็อคได้บ้าง แต่ด้วยอาการเจ็บที่ซี่โครง ทำให้มีหลายหมัดของ โคโนะที่เข้าเป้าเช่นกัน


“แบบนี้แย่แน่ ไม่มีจังหวะโต้กลับเลย” จิน พูดออกมา
“เจ้าหมาบ้าทำได้ดีทีเดียว ไทเก๊กเน้นการสวนกลับโดยใช้แรงของอีกฝ่ายสะท้อนกลับไป” ริวพูดกับจิน
“การโจมตีที่บริเวณซี่โครง จะทำให้มีปัญหาในการหายใจและยืนตัวตรง”
“ซึ่งการควบคุมลมปราณที่เป็นหัวใจของวิชาไทเก๊ก ต้องอาศัยการหายใจ หมอนั่นรู้เรื่องนี้เพราะสู้กับหลี่คุนมานับครั้งไม่ถ้วนซินะ” ริว อธิบาย


              ซุนเหว่ยที่โดนหมัดชุดของโคโนะเข้าไป ไม่มีทางเลือกนอกจากกระโดดหนีไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าหากเขาออกจากบริเวณลานประลอง เขาจะตกรอบทันที ซุนเหว่ยหนีโคโนะมาเรื่อยๆจนเท้าของเขายืนที่ขอบลานประลอง เมื่อ โคโนะเห็นดังนั้น จึงกระโดดถีบซุนเหว่ย หวังให้เขากระเด็นออกไป เมื่อซุนเหว่ยเห็นดังนั้น เขาจึงกระโดดขึ้น และใช้เท้าถีบสวนไปที่อกของโคโนะ ด้วยความที่ซุนเหว่ยรวดเร็วกว่า เท้าของเขาจึงถีบโคโนะได้ก่อนที่เท้าของโคโนะจะถึงตัวเขา โคโนะเสียหลักล้มลง ซุนเหว่ยจึงใช้โอกาสนี้ กระโดดตีลังกากลับมายืนที่กลางสนาม และตั้งท่าเตรียมต่อสู้ด้วยท่าทีขึงขังและเรียกเสียงเชียร์จากผู้ชมแบบไม่ได้ตั้งใจ


              โคโนะรีบลุกขึ้นมาและวิ่งเข้าไป ออกหมัดซ้ายขวาสลับกัน ก่อนที่จะเตะสูงหวังจะก้านคอซุนเหว่ยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ซุนเหว่ยก็บล็อคได้ และ หมุนตัวเตะกลับหลัง ใช้บริเวณส้นเท้าฟาดไปที่คิ้วซ้ายของ โคโนะอย่างรุนแรง แต่ถึงแม้จะโดนเต็มๆ แต่โคโนะก็ไม่หวั่น เขาเข้าไปประชิดตัวซุนเหว่ย ก่อนที่จะรวบซุนเหว่ยให้ล้มลง เขานั่งคร่อมซุนเหว่ยได้สำเร็จ ก่อนที่จะเริ่มรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง ซุนเหว่ยที่ไม่สามารถหนีออกจากการนั่งคร่อมของโคโนะได้เลย ก็ทำได้เพียงแค่ยกมือป้องกัน  ในขณะที่โคโนะ ก็รัวหมัดใส่ไม่ยั้ง ทันใดนั้นเอง น้ำสีแดงๆก็เริ่มไหลริน จนเข้าตาของซุนเหว่ย จนเขามองอะไรแทบไม่เห็น


“ทำไมไอคนอย่างหลี่คุน!! มันถึงได้แต่คนฝีมือดีๆไปอยู่เป็นพวก!!”
“ทำไมมันถึงได้มีแต่เจริญขึ้น!!”


               โคโนะสบถพูดออกมาในขณะที่รัวหมัดใส่ซุนเหว่ย ที่ได้แต่ยกมือขึ้นมาป้องกัน จนกรรมการต้องเข้ามาห้าม และยุติการแข่งขัน เขาลากตัวของโคโนะที่เลือดโชกที่บริเวณคิ้วซ้ายออกมา มันแตกจากการถูกซุนเหว่ยหมุนตัวเตะเมื่อซักครู่ เลือดของโคโนะไหลพุ่งออกมาจนน่ากลัวเนื่องจากเลือดลมกำลังสูบฉีดอย่างถึงขีดสุด ในตอนแรกเขายังไม่รู้ตัว เนื่องจาก ตาซ้ายของเขาบอด ทำให้เขาไม่เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากคิ้วซ้าย เขาคิดว่ามันเป็นเหงื่อ จนกระทั่งตอนที่ต่อยซุนเหว่ยอยู่ เขาเห็นเลือดของเขาไหลลงบนหน้าของซุนเหว่ย ทำให้เขาก็รู้ตัวดีว่า เลือดของเขามันพุ่งออกมามากเกินไป ถ้าหากเขาไม่รีบน็อคซุนเหว่ยให้ได้ เขาจะกลายเป็นฝ่ายแพ้ เนื่องจากเลือดออกเยอะจนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถต่อสู้ได้นั่นเอง กลายเป็น เทคนิคเคิล น็อคเอ้าต์ และผลการแข่งขันครั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า ซุนเหว่ย จะถูกเขาน็อคไปแล้วหรือไม่


              ซุนเหว่ยนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นการประลอง ทุกคนที่ยืนดูการประลองนี้อยู่ต่างเงียบสงัด ซุนเหว่ยค่อยๆขยับตัวและพลิกตัวเป็นท่านอนคว่ำ ใช้เข่าของเขาตั้งฉากกับพื้น ค่อยๆยืดตัวจนเป็นท่าคุกเข่า และยืนขึ้นอย่างสง่างาม ในตอนที่เขาถูกโคโนะนั่งคร่อมและรัวหมัดใส่ ซุนเหว่ยเปลี่ยนมาใช้วิชา”หมัดหย่งชุน” ในการป้องกัน ซึ่งวิชาหมัดหย่งชุนนั้น จะเป็นวิชาที่เน้นการป้องกันตัวเอง ใช้มือทั้งสองข้างปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายที่เข้ามา แม้ว่าจะมีหลายหมัดที่โดนไปบ้าง แต่ซุนเหว่ยก็ยังประคองสติและลุกขึ้นมาได้

“และผลการแข่งขัน!!”

“ผู้ชนะได้แก่!!!”

“ซุนเหว่ย!!!”

----------------------------------------


              โคโนะที่พ่ายแพ้ ถูกทีมแพทย์นำไปปฐมพยาบาล ถ้าหากคิ้วของเขาไม่แตก หรือว่าเลือดไหลเบากว่านี้ เขาอาจจะเป็นผู้ชนะได้ ภายในใจของเขารู้สึกเศร้าใจ ที่เขาได้พ่ายแพ้ให้กับหลี่คุนอีกครั้ง เขาถูกพามาที่ ห้องพยาบาล หมอประจำโรงเรียน ใช้เข็มเย็บเข้าที่แผลของเขา แม้ว่าความเจ็บปวดทางร่างกายจะมีมาก แต่ความเจ็บปวดในใจนั้นมีมากกว่า เหล่าสมาชิกพรรคกระยาจก ต่างพากันมายืนรอหัวหน้าของเขาที่ด้านหน้าห้องพยาบาล พวกเขาบางคนร้องไห้ออกมา เนื่องจากเขารู้ดีว่า หัวหน้าของพวกเขาแท้จริงแล้ว เป็นคนยังไง และพยายามมากแค่ไหนในการต่อสู้แต่ละครั้ง


“เสร็จแล้ว โคโนะคุง” เสียงของหมอพูดขึ้น
“ขอบคุณครับ” โคโนะกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน โคโนะคุง หมอว่า เธอน่าจะนอนที่นี่ซักคืนนะ” หมอพูดกับโคโนะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อย” 


             โคโนะพูดกับหมอก่อนที่จะเดินออกมาพบกับเหล่าสมาชิกพรรคกระยาจกของเขา ที่ยืนทำหน้าเศร้าอยู่ พวกเขามากันประมาณ30คน ทุกคนล้วนแต่ดูอ่อนแอและไม่แข็งแกร่งเอาซะเลย


“พวกแกน่ะ!! อ่อนแอแค่ร่างกายไม่พอรึไง จิตใจยังอ่อนไหวอีก!” เขาตวาดเหล่าสมาชิก
“ฮือออ ต่ะ แต่รุ่นพี่น่ะ” เสียงสะอื้นของสมาชิกหญิงพยายามพูด
“หุบปาก!!! คนที่แพ้คือชั้น ไม่ใช่พวกแกซะหน่อย!”
“เก็บน้ำตาไว้ร้อง วันที่พวกแกประสบความสำเร็จเถอะ!!” โคโนะพูดออกมาเสียงดัง
“รุ่นพี่ครับ” เสียงของชายคนนึงดังขึ้น
“อะไรอีกล่ะ!” 



               โคโนะหันไปตามเสียงเรียกเขาเห็น คนที่เรียกเขา เป็นชายรูปร่างสูง ผมสีส้ม ดูมาดแมนสมเป็นนักกีฬา และดูโดดเด่นจากเหล่าสมาชิกที่อ่อนแอของเขามาก อีกทั้งข้างๆเขาก็ยังมีเด็กสาวท่าทางดูมาดแมนยืนอยู่อีกคนหนึ่ง แม้ว่าเธอจะมีใบหน้าที่อ่อนหวาน แต่วาวตาและท่าทางของเธอดูเอาจริงเอาจังและพึ่งพาได้ทีเดียว พวกเขาทั้ง2คน เดินมาหาเขา และยืนกระดาษแผ่นนึงให้


“พวกเรามาขอสมัครเข้าพรรคกระยาจกของรุ่นพี่”
“ผมชื่อ ซากุราบะ จิน”
“จิโอวานน่า กรีอาเรลล่าค่ะ”

------------------------------------------ 

“ทำได้ดีมาก ซุนคุง” หลี่คุน ชายผูกผมกล่าวชมสมาชิกพรรคของเขา
“ขอบคุณศิษย์พี่ ที่ให้โอกาส” ซุนเหว่ยพูดพร้อมคำนับ
“ฮ่าๆๆ ยินดีๆ” หลี่คุน พูดแล้วก็ตบไหล่ซุนเหว่ย ก่อนจะเดินจากไป
“นายนี่เก่งจริงๆเลยนะ ซุนเหว่ย!!” เสียงของชายอีกคนพูดกับซุนเหว่ย เขาอยู่ปี1เหมือนกัน
“ไม่หรอกๆ อีกนิดเดียว ข้าก็จะแพ้แล้ว”ซุนเหว่ย พูดกับชายคนนั้นอย่างถ่อมตัว
“นายนี่ถ่อมตัวจริงๆนะ นายจะว่าอะไรมั้ย ถ้าชั้นจะขอเป็นเพื่อนนาย?” ชายคนนั้นถาม
“ฮ่าๆๆ ยินดีๆ มีสหายย่อมดีกว่ามีศัตรู” ซุนเหว่ยพูดพร้อมหัวเราะอย่างยินดี
“เยี่ยมเลยฮ่าๆๆ ชั้นชื่อ อารากิ ยูยะ” 

              ชายปริศนา ผู้มีร่างกายสูงราวๆ195เซ็นติเมตร แนะนำตัวของเขา เขามีผมทรงแสกกลางสีดำและใบหน้าที่ดูก้าวร้าว หลังจากที่เขาได้ซุนเหว่ยมาเป็นเพื่อน เขาก็ยิ้มมุมปาก และพร้อมแล้วสำหรับการแก้แค้นคนที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดที่สุด และเขาจะไม่มีวันลืมชื่อเธอ “จิโอวานน่า กรีอาเรลล่า”

------------------------------------
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Thu Mar 26, 2020 1:10 pm
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Thu Apr 02, 2020 12:53 pm
IamKurtCobian
IamKurtCobian
Posts : 108
Join date : 2018-08-20
Age : 26

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Sun Apr 12, 2020 12:45 pm
Sponsored content

Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ Empty Re: Fight For Grades : เรียนต้องจบ เดี๋ยวอดเป็นจอมยุทธ

Back to top
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum