DWO City
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

Go down
Alfie
Alfie
Posts : 8
Join date : 2018-08-24

Prelude to Navik: Elements and Bifröst Empty Prelude to Navik: Elements and Bifröst

Thu Dec 15, 2022 10:48 am
Prelude to Navik: Elements and Bifröst Navik_10

   "ยัลลิเวียร์" (Jällivayr) ดินแดนทางตอนเหนือของโลกหรือที่ถูกเรียกว่า "มิดการ์ด" (Midgard) โดยชนเผ่าพื้นเมืองของแดนดินนี้หรือที่รู้จักกันในนามไวกิ้ง ยัลลิเวียร์เป็นถิ่นฐานหลักที่ชนเผ่าพื้นเมืองไวกิ้งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ ผืนดินถูกปกคลุมไปด้วยวายุและหิมะแสนหนาวเหน็บราวกับฟิมบูลวินเทอร์ปะทุตัวขึ้นเตรียมโหมโรมวันสิ้นโลกาแห่ง Ragnarök ด้วยลมมรุสมย่ำแย่แบบนี้ทำให้การอยู่อาศัยในแผ่นดินแห่งนี้เต็มไปด้วยความลำบาก ปัจจัยสี่ที่ยากยิ่งจะหาได้ ฤดูหนาวที่ยาวนานหลายเท่ามากกว่าฤดูอื่นๆ เทียบกับโลกภายนอกแทบไม่อาจหากาลคิมหันต์ระหว่างกลางได้ น้อยครั้งจะปรากฏใบไม้ผลิ และถ้าโชคดีจริงๆ ก็อาจพอได้สัมผัสแดดคิมหันต์ฤดูหกเจ็ดวันก็ถือว่ามากแล้ว อีกทั้งยังมีสัตว์เดรัจฉาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมารอาคมทั่วผืนป่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ผิดเพี้ยนก่อให้เกิดพลังอาคมเวทที่มีผลกระทบต่อทุกชีวิตในผืนแดน นั่นคือสิ่งที่เหล่าไวกิ้งเผชิญอยู่ในแดนดินเช่นนี้ จึงถือว่าผืนดินเหมันต์อันกว้างใหญ่นี้หาได้เป็นแผ่นดินปกติทั่วไป

   กระนั้นตามความเชื่อของชนเผ่าแห่งยัลลิเวียร์ ดินแดนแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักในนามต้นกำเนิดปราณธาตุและต้นกำเนิดของโลกแห่งนี้ เรื่องเล่านี้ถูกเรียกโดยผู้คนภายนอกว่าประมวลเรื่องปรัมปรานอร์ส ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจักรวาลอันมืดมิดจู่ๆ ก็แตกแยกออกเป็นสองซีกขั้วพลัง ทักษิณทิศปรากฏแดนแห่งเพลิงในนามว่า "มุสเพลไฮม์" (Muspelheim) และด้านตรงกันข้ามแห่งอุดรทิศ ปรากฏหมอกฅกแดนเหมันต์แห่งความมืดนามว่า "นิฟเฟลไฮม์" (Niflheim) เพลิงแห่งมุสเพลไฮม์และน้ำแข็งแห่งนิฟเฟลไฮม์เข้ากระทบกันระหว่างใจกลางแห่งจักรวาล ห้วงแปลนที่มิอาจแลเห็นหรือหยั่งถูกถึงความลึกของมันได้ มันถูกเรียกว่าหุบเหวยักษ์หรือ "กินนุนกากอบ" (Ginnungagap) ว่ากันว่าแต่แรกเริ่ม จักรวาลมีเพียงสองพลังธาตุนั่นคือไฟและน้ำแข็ง นานเข้าๆ หลังจากปราณทั้งสองกระทบใจกลางหุบเหวยักษ์ เพลิงร้อนแห่งมุสเพลไฮม์เริ่มทำให้น้ำแข็งละลายกลายเป็นไอลอยขึ้นกระทบอากาศกลายเป็นน้ำค้างแข็งร่วงลงมากองอยู่กับพื้น นับเดือนนับปี น้ำค้างได้เสกสรรสองสิ่งมีชีวิตแรกคือยักษ์หรือโยตึนตนแรก ยิเมียร์และวัวออดฮัมลา

   กาลผ่านไปเป็นเวลานานจนถึงจุดกำเนิดเทวาแห่งเอเซียร์ (AEsir) โอดินและพี่น้องของตนสังหารยิเมียร์และใช้กายาไร้วิญญาณของโยตึนตนแรกเพื่อสร้างแดนดิน กะโหลกแห่งยักษาแปรกลายเป็นผืนฟ้า เนื้อหนังมังสาแปรสภาพเป็นผืนดิน โลหิตเป็นมหาสมุทร เกศาเป็นป่าดงพงไพร ฟันเป็นภูเขา เกิดเป็นแดนดินทั้งเก้า ต้นกำเนิดของโลกาทั้งเก้าแห่งได้ปะทุพลังธาตุหลากชนิดขึ้นมาอีกนอกเหนือจากอัคคีเพลิงและน้ำแข็ง บัดนี้พลังธาตุโลกาประกอบด้วยปราณเจ็ดชนิด ไฟ น้ำแข็ง ดิน ลม แสง ความมืดและอาคมเวท ปราณเจ็ดชนิดมีสีที่แตกต่างเฉพาะตัวกันไป ทั้งนี้แม้ว่าปราณธาตุทั้งเจ็ดจักมีสีประจำตนแตกต่างกันไป กระนั้นก็มิได้หมายความว่ามันจะเป็นแสดงออกเป็นสีนั้นเมื่อถูกใช้งานโดยบุคคล ปราณธาตุทั้งเจ็ดมีสีเฉพาะตัวดังนี้

เพลิง (สีแดง): ปราณธาตุร้อนระอุ หนึ่งในสองปราณธาตุดั้งเดิม พลังธาตุนี้สามารถแตกแขนงออกเป็นพลังจำพวกให้ความร้อนต่างๆ ได้

ดิน (ส้ม): ปราณธาตุที่เกิดจากเนื้อหนังแห่งโยตึนตนแรก มีความแข็งกระด้าง ทนทานที่สุดในบรรดาพลังทั้งหมด ปราณประเภทนี้สามารถแตกแขนงออกเป็นธาตุจำพวกชีวิตได้ อย่างเช่น ไม้หรือเหล็ก

แสง (เหลือง): ปราณธาตุสว่างไสว เครื่องหมายแห่งความอบอุ่นแห่งทวยเทพ พลังงานประเภทนี้สามารถแตกแขนงออกเป็นปราณสายฟ้าหรืออื่นๆ จำพวกแสง

ลม (เขียว): อีกหนึ่งในพลังงานแห่งชีวิต ปราณธาตุที่มีความนุ่มนวลมากที่สุดในบรรดาทั้งหมด กระนั้นก็คบกริบเมื่อกาลมาเยือน ปราณธาตุประเภทนี้แตกแขนงออกเป็นเสียงหรือหมอกได้

น้ำแข็ง (ฟ้า): ปราณธาตุแห่งความเย็น หนึ่งในสองปราณธาตุดั้งเดิม พลังธาตุชนิดนี้มีความเย็นยะเยือกมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาพลังทั้งหมด มันสามารถแตกแขนงออกเป็นธาตุอื่นอย่างเช่นน้ำ

อาคม (น้ำเงิน): ปราณธาตุมากพิศวง ว่ากันว่ามันคือปราณที่มีความลึกลับน่าฉงนที่สุด ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตามเรื่องเล่าขาน ว่ากันว่ามันคือพลังที่โอดินสร้างขึ้นมาเองด้วยประสงค์จักใช้เพื่อความรู้ พลังงานประเภทนี้แตกแขนงออกเป็นพลังเวทหรือกาลเวลา

ความมืด (ม่วง): พลังแห่งความมืดที่เกิดขึ้นจากความมืดแห่งหุบเหวยักษ์ที่ถูกดูดซึมโดยโลกาทั้งเก้า พลังประเภทนี้มากครั้งจะถูกใช้ในทางที่ผิด อย่างเช่นไสยศาสตร์ พิษ อาคมหมอผีหรือโกงความตาย

   พลังทั้งหมดมีวรรณสีเดียวกันกับหนึ่งในสายรุ้ง ขยายจนสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลกาทั้งเก้าสามารถสัมผัสถึงหนึ่งในพลังธาตุได้ราวกับเป็นปัจจัยใหม่ในการดำรงชีวิต โดยทั่วไปแล้วบุคคลหนึ่งจะมีพลังธาตุอยู่อย่างน้อยหนึ่งธาตุ ซึ่งจะเป็นธาตุหลักหรือรองก็ได้ตามที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด แต่สำหรับบางคนผู้โชคดีที่ได้รับประทานพรจากฟ้าอาจจะมีพลังธาตุอยู่ด้วยกันสองหรือสามธาตุในตัวเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นสำหรับผู้ที่เกิดมามีเพียงธาตุเดียวก็สามารถฝึกฝนตนเองจนบรรลุแขนงพลังธาตุนั้นๆ เพื่อรับพลังธาตุใหม่ได้ กระนั้นเมื่อพลังธาตุเริ่มมากขึ้น กายาของแต่ละบุคคลก็เริ่มไม่อาจทนรับได้และอาจเกิดภาวะลมปราณแตกซ่านและตายได้ในที่สุด พลังงานที่ถูกขับออกมาจากร่างด้วยภาวะลมปราณแตกซ่านจะหวนกลับคืนสู่แผ่นดิน แต่ว่าหากใครก็ตามที่บรรลุวิถีครอบครองพลังก็อาจฉวยโอกาสกลืนกินพลังธาตุนั้นๆ เข้าหาตัวได้ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำอะไรแบบนั้นได้ อีกทั้งการฝึกฝนเพื่อได้รับพลังธาตุใหม่ก็มิใช่เรื่องง่ายดายที่จะทำกันได้ง่ายๆ เช่นกัน เทวาแห่งเอเซียร์และวาเนียร์ (Vanir) มักจะใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อที่จะครอบครองพลังธาตุใหม่ๆ

   เมื่อพลังทั้งเจ็ดได้รวมตัวกันมันจะกลายเป็นพลังงานรุ้งที่ถูกเรียกว่าไบฟรอส (Bifröst) หรือพลังงานที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาปราณธาตุทั้งหมด พลังงานสายรุ้งนี้สามารถใช้ได้ตามใจนึกและจักใช้ทำกาลอันใดก็ได้ ลักษณะสายรุ้งของมันร้อนระอุเฉกเช่นดวงสุริยา มันแข็งกร้านมิอาจทลายได้ ควบคุมกาลเวลาเดินทางไปไหนก็ได้ด้วยสะพานสายรุ้ง เร็วดุจดั่งวายุและโกงความตายกลายเป็นอมตะ มันจึงเป็นพลังที่หายากที่สุดและเป็นที่ต้องการมากที่สุด ส่วนมากพลังงานนี้จะถูกใช้เป็นเครื่องทุ่นแรง เครื่องอำนวยความสะดวกหรือหนุนเนื่องศาสตราวุธ กระนั้นก็อยู่ในระดับเบาบางมิอาจไม่เป็นภัยร้าย แต่ทำอะไรมากไม่ได้ และไม่อาจใช้มันตามใจนึกดั่งเช่นพลังโดยแท้ของมันดั่งเช่นการรวมพลังเข้าสู่มรรตัย เครื่องมือที่โด่งดังที่สุดก็คือสะพานสายรุ้งไบฟรอสที่เทวาแห่งเอเซียร์ใช้ในการเดินทางไปยังโลกาแห่งอื่นนอกเหนือจากแอสการ์ด (Asgard) ว่ากันว่าหลายคนพยายามที่จะรวมพลังทั้งหมดเข้าในร่างตนเองกันมากมาย ทั้งด้วยการฝึกโดยธรรมชาติหรือผ่านเครื่องมือช่วยเหลือ แต่ก็มิอาจมีใครประสบความสำเร็จได้

   วิธีการและความคิดการรวมพลังทั้งเจ็ดเข้าในคนเดียวเกิดขึ้นจากโอดิน ด้วยความที่กลัวตายและพยายามหลีกเลี่ยงแรคนาร็อค ได้พยายามที่จะรวมพลังปราณธาตุทั้งเจ็ดเข้าที่ตัวเอง เขาได้รับรู้ถึงวิธีการนี้จากมิเมียร์ (Mimir) นักปราชญ์สุดแห่งโลกาทั้งเก้า แต่ว่าโอดินเองก็มิอาจประสบผลสำเร็จ แม้แต่หนึ่งในผู้ทรงพลังที่สุดในโลกาทั้งเก้าก็มิอาจต้านภาวะพลังแตกซ่านได้และเกิดผลข้างเคียงทำให้ราชันย์แห่งราชันย์สูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง ซึ่งนั่นถือว่าโชคดี หากเป็นผู้อื่นคงร่างแตกตาย ก่อปะทุระเบิดที่อาจทำลายล้วงได้กระทั้งแคว้นขนาดใหญ่ กาลผ่านไปยิ่งมีผู้อาจลองดีหวังเป็นใหญ่เหนือมหาเทพได้ปฏิบัติเช่นนี้และล้มเหลว ก่อให้เกิดผลร้าย เกิดวิบัตภินทนาการ ผู้คนล้มตายเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกโง่เง่า หลายแดนดิน หลายโลกาจึงออกกฏต้องห้ามการรวมปราณทั้งเจ็ดเพื่อสร้างไบฟรอสเข้าสู่กายามรรตัย 

และนี่ก็คือเรื่องราวแห่งพลังธาตุและไบฟรอสแห่งโลกนาวิก อาขยานอื่นๆ ใดๆ อาจถูกเล่าขานต่อไป… ในไม่ช้า!
Back to top
Permissions in this forum:
You cannot reply to topics in this forum